ดูแล้วมาเล่า : สี่แผ่นดิน The Legend Musical กาลเวลาที่ไหลผ่าน กับการตีความที่ต่างไป?

บันเทิง
ดูแล้วมาเล่า : สี่แผ่นดิน The Legend Musical กาลเวลาที่ไหลผ่าน กับการตีความที่ต่างไป?

สี่แผ่นดิน The Legend Musical @Long 1919 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแสดงอีกครั้งเป็นครั้งที่ 4 โดยในครั้งนี้ได้แม่พลอยคนเดิม นก สินจัย กลับมารับบทนี้อีกครั้ง กับสถานที่ใหม่ เวทีริมน้ำเจ้าพระยา

ก่อนอื่นต้องขอชมในเรื่องของการเลือกสถานที่และการจัดสรรพื้นที่ที่เนรมิตให้ล้ง1919 กลายเป็นโรงละครขนาดใหญ่ ที่มีท้องฟ้าในต้นฤดูหนาว(ที่ไม่หนาว)เป็นหลังคา เปิดฉากด้วยการรำไทยวิจิตร ตามสไตล์ของสี่แผ่นดิน มีเทคนิคการผสานแม่น้ำให้เป็นฉากในละคร กับม่านน้ำที่ปรากฏเบื้องหลังเพื่อให้ฉากดำเนินอย่างงดงาม กับการเล่าเรื่องการเดินทางของแม่พลอยในแต่ละแผ่นดิน ที่ในครั้งนี้การดำเนินเรื่องมีความกระชับ ตัดสลับและลดทอนบางอย่างที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ละครมีการเดินเรื่องที่เร็วขึ้น(และอาจจะเร็วไปในบางช่วงบางตอน)อาจจะเพราะอยากตรึงคนดูให้อยู่กับเรื่อง

เพราะหากมีช่วงว่างแม้แต่นิดเดียว อาจจะหลุดจากภาพบนเวทีไปได้ เนื่องจากสถานที่แสดงเป็นสถานที่เปิด ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายของละครในครั้งนี้คือการที่มีฉากหลังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีเรือไหลผ่าน ถือเป็นข้อดีที่มีข้อเสียอยู่ในที บางฉากสำคัญอาจถูกรบกวนด้วยเรือสำราญที่ผ่านไปมา มีเรือบางลำที่มีเสียงเพลงแทรกเข้ามาในบางช่วงของละครที่เป็นบทสนทนาที่ปราศจากเพลง ต่างจากการเล่นในโรงละครที่เราจะจดจ่ออยู่กับเวทีตรงหน้า ซึ่งแม้ว่าสิ่งเร้าเหล่านี้อาจจะรบกวนบ้าง แต่ไม่ถึงกับเสียอรรถรสในการรับชม และเป็นอีกรสนึงซึ่งแปลกใหม่ ในการชมละคร เป็นมหรสพกลางแจ้ง ที่คนยุคใหม่อาจจะไม่ค่อยได้รับชม 
 

 
อีกสิ่งที่น่าชื่นชมคือนักแสดง เริ่มตั้งแต่ บท แม่พลอย ที่พูดได้เลยว่า ไม่มีใครเหมาะสมกับบทนี้เท่ากับ สินจัย เปล่งพานิชอีกแล้ว การแสดงของเธอ เรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่มีพลังและสะกดคนดูให้ต้องจ้องดูเธอในทุกครั้งที่แม่พลอยปรากฏตัวบนเวที แม้จะแค่ยืนนิ่งๆก็ตาม แต่เราก็ไม่อาจละสายตาจากเธอได้เลย ในครั้งนี้อาจจะเป็นรอบที่ร้อยเท่าไหร่ไม่รู้ของเธอ แต่ดูเหมือนบทแม่พลอยที่ผ่านกาลเวลาอันยาวนานได้หลอมรวมเข้ากับตัวเธอจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เราได้เห็นแม่พลอยที่มีชีวิต จิตวิญญาณ และความเชื่อ ที่แนบสนิทไปด้วยกันกับนักแสดง ทำให้เราเชื่อว่า นก สินจัย คือแม่พลอยอย่างเต็ม 100 เปอร์เซนต์ 
 

 
ตามมาด้วยรุ่นลูก ทั้ง 4 คน ที่เป็นกิมมิคของสี่แผ่นดินสำหรับคนดูอย่างเราๆ ที่จะลุ้นว่า ใคร จะมารับบทลูกในเวอร์ชั่นนี้ ซึ่งลูกคนโต อั้น รับบทโดย อาร์ อาณัตพล ซึ่งถือเป็นอีกคนที่ครองบทนี้มาทุกครั้งที่สี่แผ่นดินเปิดการแสดง และเป็น ออริจินัล แคสต์ ที่เหมาะสมและเฉียบคมที่สุด ด้วยน้ำเสียงและรูปร่างที่ล่ำสัน บวกกับโทนเสียงต่างๆ เหมาะกับการเป็นทหารมากๆ พูดได้เลยว่า ไม่มีใครเหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว และอาร์ อาณัตพล ก็ถ่ายทอดบทอ้นออกมาได้ดีขึ้นๆในทุกเวอร์ชั่นที่ผ่านมา
 

 
อีกคนที่ถือเป็นดาวดวงใหม่ที่น่าชื่นชม เพราะแม้จะหน้าใหม่ แต่ฝีมือไม่ธรรมดาเลยทีเดียว คือ บท อั้น ที่รับบทโดย ซาน อัศรัญ มะ ชื่อนี้หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่หากเอ่ยถึงผู้ที่รับบทพากย์เป็นตัวละคร อะลาดิน และซิมบ้า จากไลอ้อนคิง ในภาคภาษาไทย หลายคนก็อาจจะคุ้นชินกับเสียงนี้  บทอั้นเป็นบทที่เข้มข้นมากที่สุดในบรรดาลูกทั้งสี่คน ซึ่งตัวละครตัวนี้ก็เป็นตัวละครที่เรียกได้ว่า มีการเดินทางจากสีเข้มที่สุดไปสีอ่อนที่สุด ซึ่งซานก็ทำออกมาได้ดีเกินความคาดหมาย ทั้งการแสดงที่เข้าถึงอารมณ์ แสดงความเป็นคนรุ่นใหม่ออกมาอย่างชัดเจน และเพลงร้องที่ค่อนข้างยาก แต่ทำออกมาได้ตรึงใจคนดูเลยทีเดียว ถือเป็นนักแสดงที่น่าจับตามองคนหนึ่งของวงการละครเวที
 

 
ส่วนปอ อรรณพ ที่รับบทอ๊อด ลูกชายคนที่สามของแม่พลอย ถือเป็น อ๊อด ที่น่ารักที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยน้ำเสียง บุคลิก และด้วยลีลาการแสดงที่ดูออดอ้อน น่ารัก กับเสียงแหบละมุนที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เพลง ฉันจะอยู่เคียงข้างเธอในเวอร์ชั่นนี้มีความละมุนต่างจากเวอร์ชั่นก่อนๆ  และด้านการแสดงก็ถือว่าสอบผ่านในฐานะนักแสดงละครเวทีที่มีเสน่ห์และสื่อสารผ่านการรร้องได้ดี 
 

 
ส่วนบท คุณเปรมวัยหนุ่ม ที่รับบท โดย รอน ภัทรภณ โตอุ่น ที่ถือว่าเป็นบทที่ค่อนข้างมีภาพจำ เพราะ กัน นภัทร ที่รับบทนี้มาถึง 3 เวอร์ชั่นที่ผ่านมาทำไว้ได้ดีมาก และในครั้งนี้ รอนก็ถือว่าสอบผ่านเลยทีเดียว ด้วยเสียงร้องและเสียงพูดที่มีเสน่ห์ กับการแสดงที่คมคาย ทำให้บทคุณเปรมวัยหนุ่มในครั้งนี้ เป็นอีกมิติหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว
 
อีกบทที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ บท แม่ช้อย ที่รับบทโดย ต๊งเหน่ง รัดเกล้า อามระดิษ ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสีสัน ไม่เพียงแต่ รัดเกล้าเท่านั้นที่โดดเด่นกินรอบวงในบทนี้ หากแต่ แม่ช้อย วัยเด็กและวัยสาวก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ แม่ช้อยในวัยเด็ก ที่ปรากฏตัวบนเวทีทีไร ก็เรียกเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือกลับไปทุกครั้ง อาจจะด้วยเพราะตัวบทม้าดีดกระโหลก ที่ค่อนข้างเป็นที่ถูกใจของผู้ชมทั่วไป และความน่ารักเฉพาะตัวของน้องนักแสดง (เพราภัสกัญญาน์ เต็มธนมงคล) ที่แสดงได้น่ารักน่าหยิก
 
ตัวละครอื่นๆ อย่างเช่น คุณเปรม (เกรียงไกร อุณหะนันท์) เป็นคุณเปรมที่สุขุม ละมุนมากๆ เป็นคุณพ่อและสามีในฝันของใครหลายๆคนเลยทีเดียว  และยังมีนักแสดงอีกมากมายที่ต้องขอชื่นชม ทั้งดี๋ ดอกสะเดา(พ่อเพิ่ม) ที่เป็นสีสันและเรียกเสียงฮาได้เนืองๆ แม่พลอยทั้งสองรุ่น จิ๊บ กุลธิดาฐ์ อักษรนันท์ (พลอยวัยสาว) ณัฐรดา ศรีชูทอง (พลอยวัยเด็ก) ที่เสียงร้องหวานใสกังวาลสะเทือนมาจนแถวสุดท้าย และเหล่าหมู่มวลที่ช่วยทำให้องค์ประกอบและภาพบนเวทีสมบูรณ์ขึ้น รวมถึงการเรียบเรียงเสียงประสาน และดนตรี ที่เข้มข้นมากขึ้น ทั้งในแง่ของการร้องและดนตรีที่เสริมกับเรื่อง ขับให้ละครดำเนินไปอย่างไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย
 



 
และถึงแม้ว่า สี่แผ่นดิน ในครั้งนี้จะเป็นการตีความใหม่ แต่เรื่องราวและอารมณ์ความรู้สึกหลังจากรับชมก็ไม่ไกลจากเดิมที่เคยได้ชมในเวอร์ชั่นก่อนมากนัก หากแต่จะต่างก็ตรงที่เรื่องของบริบทยุคสมัย มุมมองของผู้คนในสังคม และการมองโลกที่เปลี่ยนไป แต่ถึงอย่างไร สี่แผ่นดิน เดอะ มิวสิคัล ก็เป็นงานมาสเตอร์พีซชิ้นนึงของวงการละครเวทีไทยที่ตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ 
 

 
หากคุณเป็นคอละครเพลง และละครเวทีล่ะก็ ขอบอกเลยว่าไม่ควรพลาด และควรเดินทางมาชมสักครั้งนึง กับละครเพลงสุดยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี ท่ามกลางบรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนที่นั่งคนดูแบบ open air ลมเอื่อยๆ วิวแม่น้ำ เป็นอีกอรรถรสที่ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่ง
 
ละครเวทีกลางแจ้ง “สี่แผ่นดิน THE LEGEND MUSICAL @ LHONG 1919” เปิดการแสดง วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 15 ธันวาคม 2562 เพียง 10 รอบเท่านั้น

ซื้อบัตรได้ที่ http://bit.ly/2XXmxB0
 
#สี่แผ่นดินthelegendmusical
#สี่แผ่นดินatlhong1919
#lhong1919
#100thanniversarylhong1919

ขอบคุณภาพจาก Scenario & Rachadalai & zanshines