สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ วางแผนให้ฟุตบอลชายทีมชาติชุดใหญ่ อุ่นเครื่องกับ ทีมชาติจีน ในช่วงระหว่างพักการแข่งขันฟุตบอลไทยลีกในช่วงต้นเดือนมิถุนายน

 

ในการประชุมระหว่างสมาคมฯ กับสโมสรระดับ โตโยต้า ไทยลีก ครั้งล่าสุดได้มีการสรุปว่า ทัพช้างศึก จะจัดโปรแกรมเก็บตัวระหว่างพักการแข่งขันฟุตบอลลีกภายในประเทศ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม - ต้นเดือนมิถุนายน โดยได้ข้อสรุปว่าทางสมาคมฯตอบรับคำเชิญจากทางทีมชาติจีน มาทำการแข่งขัน

 

พล.ต.อ.ดร สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า "ในเบื้องต้นผมได้รับรายงานจากฝ่ายต่างประเทศสมาคมฯ โดยคุณ พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และ โฆษกสมาคมฯ ว่า หลังจากเราล้มเลิกการนำทีมชาติไทยชุดใหญ่ไปเก็บตัวที่ ออสเตรีย เนื่องจากนักเตะมีภารกิจกับสโมสรต้นสังกัดจำนวนมาก จำเป็นต้องเปลี่ยนแผน"

 

"ที่ผ่านมาเราพยายามติดต่อหาทีมมาอุ่นเครื่องในช่วงเวลาที่ว่างเว้นนี้ โดยมีทีมชาติจีนติดต่อมาเป็นทีมแรก ซึ่งเราก็ตกกันว่าจะยังไม่เปิดเผยจนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน แต่หลังจากนั้นทีมชาติอินเดีย ก็ติดต่อจะขออุ่นเครื่องกับไทย แต่ว่าเราได้หารือกับโค้ชราเยวัช ซึ่งเขาเห็นว่าต้องการนำทีมชาติไทย ลงอุ่นเครื่องกับทีมชาติจีน ในวันที่ 2 มิถุนายน"

 

นอกจากนี้ คุณ พาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และ โฆษกสมาคมฯ กล่าวเสริมว่า "ในช่วงที่ผ่านมา มีหลายชาติที่ติดต่อเข้ามา แต่ที่เข้ามาอย่างชัดเจนเลย คือ ทีมชาติจีน และ ทีมชาติอินเดีย แต่ด้วยเงื่อนไขของเวลา ที่ทางอินเดียเขามีทัวร์นาเมนต์แข่งขันในช่วงหลังวันที่ 1 มิถุนายน ทำให้เขาต้องการอุ่นเครื่องในช่วงระหว่างวันที่ 21-28 พฤษภาคม ทำให้เราไม่สามารถหาเวลาแข่งขันได้เนื่องจากฟุตบอลลีกภายในประเทศของเราจะเสร็จสิ้นเลกแรกในวันที่ 28 พฤษภาคม ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกัน"

 

"นอกจากนี้ ทาง มิโลวาน ราเยวัช หัวหน้าผู้ฝึกสอนยืนยันว่าเขาต้องการเกมอุ่นเครื่องแค่นัดเดียวเท่านั้น เพราะเป้าหมายหลักในการเก็บตัวช่วงนี้ คือการใช้ระยะเวลากับนักฟุตบอลให้ได้เยอะๆ และการลงแท็คติก"

 

"สำหรับการอุ่นเครื่องกับจีน เรารอแค่การเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการจากสมาคมฟุตบอลจีนเท่านั้น ก็ถือว่าทุกอย่างเสร็จสิ้น โดยตอนนี้เราวางแผนเก็บตัวในช่วงระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม - 6 มิถุนายน นี่คือห้วงเวลาทั้งหมด ส่วนเรื่องสถานที่วันเวลาแข่ง จะมีการประชาสัมพันธ์ต่อไป"

ที่มา : FA Thailand