เที่ยวกรุงเทพฯ ชม 7 มหัศจรรย์ที่สวนสัตว์ดุสิต

กินเที่ยว
เที่ยวกรุงเทพฯ ชม 7 มหัศจรรย์ที่สวนสัตว์ดุสิต

สวนสัตว์ดุสิตนับว่าเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจกลางเมืองที่เดินทางไปมาสะดวก ภายในสวนสัตว์ นอกจากจะได้ชมสัตว์หายาก สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และสัตว์ที่หาดูไม่ได้ง่ายๆ ในประเทศเรา

เขาดินเป็นสวนสัตว์ใหญ่ใจกลางกรุงเทพฯ มีพื้นที่ 118 ไร่ มีสัตว์ป่าราวๆ 2,000 ตัว ทั้งที่หายากและเกือบจะสูญพันธุ์แล้ว มีต้นไม้นานาชนิดที่ให้ความร่มรื่นและบึงน้ำขนาดใหญ่ที่สวยงาม เหมาะเป็นที่ศึกษาเรียนรู้ชีวิตสัตว์สำหรับนักเรียน นักศึกษา และเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับครอบครัว นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป

หลายคนอาจจะคิดว่าการไปเที่ยวสวนสัตว์ที่ไหนก็เหมือนๆ กันไปหมด แต่คุณรู้หรือไม่ว่านอกจากสัตว์ป่าหลากหลายชนิดที่มีอยู่ในสวนสัตว์แล้ว ที่นี่ยังมี 7 สิ่งมหัศจรรย์ที่มีความสำคัญติดอันดับโลกอยู่ด้วย ซึ่งภายในสวนสัตว์ดุสิตก็ได้แบ่งพื้นที่การจัดแสดงสัตว์ไว้เป็นส่วนๆ เพื่อให้ง่ายต่อการเดินชม เช่น ส่วนจัดแสดงสัตว์แอฟริกา ส่วนจัดแสดงสัตว์เลื้อยคลาน ส่วนจัดแสดงเสือ ส่วนจัดแสดงลิงและค่าง ส่วนจัดแสดงสัตว์ตระกูลกวางและสัตว์ป่าสงวน เกาะนก สวนสนุกและเครื่องเล่นต่างๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของสวนสัตว์ดุสิตก็ได้กระจายตัวอยู่ตามส่วนต่างๆ เหล่านี้ อยากรู้แล้วล่ะซิ ว่า 7 สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง รีบออกไปตามหากันเลยดีกว่า

มหัศจรรย์สิ่งแรก เริ่มต้นกันที่ “แพนด้าแดง” กันก่อนเลย สวนสัตว์เชียงใหม่มีแพนด้าขอบตาดำ ที่สวนสัตว์ดุสิตก็มีแพนด้าแดงขนฟูน่ารักน่าเอ็นดูไม่แพ้กัน แพนด้าแดงนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาล จีน แถบเทือกเขาหิมาลัย เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลกซึ่งได้รับการคุ้มครอง สำหรับในเมืองไทยหาชมได้ที่สวนสัตว์ดุสิตที่เดียวเท่านั้น

เจ้าแพนด้าแดงขนปุกปุยน่ากอดนี้กินใบไผ่อ่อนเป็นอาหารหลัก และกินได้มากถึงวันละ 200,000 ใบต่อวัน โดยจะออกหากินในช่วงใกล้ค่ำ และใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงต่อวันในการกินอาหาร ส่วนในตอนกลางวันมันก็จะนอนอาบแสงแดดอุ่นๆ แหม…ชีวิตช่างน่าอิจฉาเสียนี่กระไร หากใครอยากรู้ว่าแพนด้าแดงกับแพนด้าสีขาวดำมีความเหมือนและต่างกันอย่างไร บ้าง ก็ต้องลองมาดูกันที่นี่

มหัศจรรย์ที่สอง อยู่ข้างกรงแพนด้าแดงกันเลยทีเดียว นั่นก็คือ “ค่างห้าสี” ค่างที่มีสีสันสวยงามที่สุดในโลก โดยตามตัวจะมีสีตัดกันถึง 5 สี ตัวและหัวมีสีเทา หน้าผากมีสีเทาดำออกแดง หนวดเคราสีขาว หางและก้นสีขาว ใบหน้าสีเหลือง และส่วนขามีสีน้ำตาลแดง ค่างสีสวยชนิดนี้มักถูกลักลอบล่าเพื่อนำลูกค่างมาขาย ทำให้ค่างห้าสีมีจำนวนลดลงจนองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าโลกต้องจัดให้ค่างชนิดนี้อยู่ในบัญชีแดง ซึ่งหมายถึงสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ห้ามซื้อ ขาย และล่า

แม้จะเป็นสัตว์ที่หาได้ยาก แต่สำหรับที่สวนสวนสัตว์ดุสิตแล้วถือเป็นศูนย์เพาะพันธุ์ค่างห้าสีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการเพาะเลี้ยงเพาะพันธุ์ค่างห้าสีจนตอนนี้มีจำนวนมากกว่า 30 ตัวด้วยกัน โดยแต่ละตัวนั้นก็มีมูลค่าตัวละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียว

มหัศจรรย์ที่สาม ที่ “หลุมหลบภัย” ใกล้ๆ กับบ่อน้ำของแม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัสนั่นเอง

หลุมหลบภัยในสวนสัตว์แห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ใช้หลบภัยกรณีมีเหตุการณ์เสือหลุดจากกรงแต่อย่างใด แต่หลุมหลบภัยนี้สร้างขึ้นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสวนสัตว์รวมถึงประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาหลบลูกระเบิดที่เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรจะเข้ามาโจมตี โดยหลุมหลบภัยนี้ถือเป็นหลุมหลบภัยสาธารณะสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ยังสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย หลังจากที่สงครามสงบก็ได้มีการปรับปรุงพื้นที่ โดยมีการสร้างภูเขาจำลองครอบทับทำเป็นกรงเลี้ยงเลียงผา ก่อนที่จะมีการปรับปรุงอีกครั้ง โดยฟื้นฟูสภาพของหลุมหลบภัยกลับคืนให้คนในปัจจุบันได้เห็น ภายในมีการจัดแสดงหุ่นจำลองประชาชนที่เข้ามาหลบลูกระเบิดด้านใน ส่วนด้านนอกนั้นก็มีการจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่ายและข้อมูลเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่งในประเทศไทย

มหัศจรรย์ที่สี่ นั้นอยู่ข้างๆ หลุมหลบภัยกันเลย นั่นก็คือ “เก้งเผือก” เก้งขนสีขาวสะอาดทั่วทั้งตัวที่มีรายงานการพบที่เดียวในโลกคือที่ประเทศไทย โดยเก้งเผือกตัวแรกที่พบนั้นก็คือ “เพชร” เก้งเผือกเพศผู้พบที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และจากการผสมพันธุ์เจ้าเพชรก็ทำให้เราได้ลูกเก้งเผือกมาอีกถึง 5 ตัวด้วยกัน โดยเก้งเผือกตัวที่ 5 หรือ “หมอก” นั้นเพิ่งจะเกิดใหม่ และมีการเปิดตัวไปเมื่อช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมานี้เอง

มหัศจรรย์ที่ห้า คือ “ละมั่งพันธุ์ไทย” สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ เมื่อก่อนนี้เคยพบอยู่ในแถบภาคตะวันออกและอีสานใต้ จังหวัดตราด จันทบุรี และปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ที่สวนสัตว์ดุสิตแห่งเดียวเท่านั้น

ละมั่งพันธุ์ไทยตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีเขาโง้งสวยงาม และพวกมันยังมีความปราดเปรียวว่องไว สายตาดี และรับกลิ่นได้ไวอีกด้วย ละมั่งพันธุ์ไทยจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ดังนั้นฝูงละมั่งที่สวนสัตว์ดุสิตนี้จึงเป็นละมั่งพันธุ์ไทยฝูงสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มหัศจรรย์ที่หก “จุดชมวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม” โดยเมื่อมองจากริมสระน้ำภายในสวนสัตว์ดุสิตไปแล้วจะสามารถมองเห็นยอดโดมของพระที่นั่งอนันต์ฯ อยู่ท่ามกลางแมกไม้ ขณะที่ในสระน้ำก็มีจักรยานนาวาสีสดใสลอยไปมาทำให้ทิวทัศน์น่าชมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบริเวณเกาะเล็กๆกลางสระน้ำของสวนสัตว์นั้น ก็ยังมีศาลาเรือนไทย ที่เคยเป็นสถานที่ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5

มหัศจรรย์ที่ 7 ไม่ใช่สัตว์อีกเช่นกัน แต่เป็น “ต้นสัก” ซึ่งนอกจากจะเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว ก็ยังถือเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์กอีกด้วย โดยสองราชอาณาจักรนี้ได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมีความสัมพันธ์อันดีต่อมาจนถึงปัจจุบัน และในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าชายวัลเดอร์มาร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก ได้เสด็จมาเยือนประเทศสยามอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2443 การเสด็จเยือนในครั้งนั้น รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานเลี้ยงกลางวันที่สวนดุสิต และได้ทรงปลูกต้นสักเป็นที่ระลึกในการเสด็จเยือน และยังคงมีหลักฐานเป็นต้นสักทอง และมีศิลาสลักอักษรจารึกไว้ให้เห็นจนปัจจุบัน

การมาเที่ยวสวนสัตว์ดุสิตเพื่อตามหา 7 สิ่งมหัศจรรย์ในครั้งนี้ ทำให้เราได้เห็นสวนสัตว์ดุสิตในมุมที่แปลกออกไป ทำให้เราได้รู้ว่าความพิเศษต่างๆ ที่ถูกรวบรวมอยู่ในสวนสัตว์ดุสิตนั้นไม่ได้มีเพียงสิ่งมหัศจรรย์ 7 สิ่งที่เราพูดถึงกันเท่านั้น เพราะนอกจากบรรดาสิงสาราสัตว์ที่หาชมได้ยากแล้ว ที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง เช่น อาคารเรือนกระจกที่สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 7 สถาปัตยกรรมชิ้นเอกที่งดงามด้วยไม้ฉลุและกระจกสี ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารอนุรักษณ์จากกรมศิลปากร และส่วนจัดแสดงสัตว์เลื้อยคลานที่ได้รับการบันทึกว่า มีพื้นที่จัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

     

พอได้รู้อย่างนี้แล้ว สวนสัตว์ดุสิต ก็ไม่ใช่เพียงแค่สวนสัตว์ธรรมดาๆ อีกต่อไป เพราะสวนสัตว์ดุสิตเป็นสวนสัตว์แห่งแรกของเมืองไทย ที่มีเรื่องราว และประวัติศาสตร์มากมายที่รอให้เราเข้าไปค้นหาคำตอบได้อย่างไม่รู้จักหมด

ขอบคุณคลิปจากคุณ ครับ

 

ที่อยู่ : 71 ถนนพระราม 5 แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพ
GPS : ประตูราชวิถี N13 46.450, E100 31.046 , ประตูอู่ทอง N13 46.304 ,E100 30.910 , ประตูสวนจิตรลดา (ด้านถนนพระราม 5) N13 46.206, E100 31.002
เบอร์ติดต่อ : 02 281 2000
แฟกซ์ : 02 282 9245
Website : www.dusitzoo.org
เวลาทำการ : 08.00-18.00 น.
ค่าธรรมเนียม : ผู้ใหญ่ 70 บาท / นักศึกษา, ปวส., ครู, ทหาร, ตำรวจ (ในเครื่องแบบ) 30 บาท / นักเรียน, ปวช., เด็ก 10 บาท / ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) คนพิการ, พระภิกษุ เข้าฟรี
รถยนต์ 50 บาท / รถจักรยานยนต์ 10 บาท
ชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 100 บาท / เด็ก 50 บาท
ช่วงเวลาแนะนำ : ตลอดทั้งปี

 

ที่มา : www.bangkokgoguide.com, www.thetrippacker.com