9 เมืองสวรรค์ สำหรับนักปั่นทั่วโลก

กินเที่ยว
9 เมืองสวรรค์ สำหรับนักปั่นทั่วโลก

มาดูกันสิว่าเราจะไปปั่นจักรยานชิลๆ ได้ที่เมืองไหนกันบ้าง


ปัจจุบันการปั่นจักรยานเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้งใช้เพื่อการสัญจรไปทำงาน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ธุระ หรือเพื่อการท่องเที่ยว ซึ่งเว็บไซต์ escapehere.com ได้รวบรวม 9 เมือง ที่เป็นมิตรมากๆ ต่อการขับขี่จักรยานในเมือง มาดูกันสิว่าเราจะไปปั่นจักรยานชิลๆ ได้ที่เมืองไหนกันบ้าง


1. กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์


คงไม่มีเมืองไหนที่จะมีการปั่นจักรยานที่มากมายเท่ากับกรุงอัมสเตอร์ดัม การปั่นจักรยานจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนท้องถิ่น ตามกฎหมายให้ขับขี่รถยนต์ในความเร็วที่ไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จึงส่งผลดีต่อการขี่จักรยานในเมืองแห่งนี้ เพราะมันจะปลอดภัยมากสำหรับนักปั่น ไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนจะยอมรับการขี่จักรยานได้มากมายเช่นเมืองอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเมื่อมีแต่จักรยานบนท้องถนน ก็เป็นการสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายให้กับเมืองได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แม้ว่าปัจจุบันเมืองแห่งนี้จะเป็นผู้นำของเมืองที่มีการปั่นจักรยานมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกแล้ว แต่รัฐบาลท้องถิ่นก็ยังคงที่จะพัฒนาเมืองด้วยการใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางต่อไป


2. เมืองโคเปนเฮเกน (Copenhagen) ประเทศเดนมาร์ก


ในทุกๆ วันในเมืองเมืองโคเปนเฮเกน นักปั่นจักรยานจะมีการเดินทางด้วยจักรยานเฉลี่ยรวมแล้วประมาณ 1.1 ล้านกิโลเมตร โดย 36 เปอร์เซ็นต์ ของชาวเมืองจะใช้จักรยานในการเดินทางไปทำงาน ไปโรงเรียน และไปมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และยังมีการตั้งเป้าที่จะให้มีจำนวนของนักปั่นเพิ่มมากขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2015 นี้อีกด้วย เส้นทางของจักรยานในกรุงโคเปนเฮเกนจะแยกออกมาจากเลนสำหรับรถยนต์อย่างชัดเจน ซึ่งบางเส้นจะมีระบบสัญญาณไฟของตัวเอง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขี่จักรยานด้วยกัน มีการปรับปรุงภูมิทัศน์อย่างสวยงาม เป็นการพัฒนาไปในแนวทาง Greenway อย่างแท้จริง


3. เมืองยูเทรกต์ (Utrecht) ประเทศเนเธอร์แลนด์


เมืองยูเทรกต์อาจเป็นเมืองตัวอย่างที่ดีสำหรับการขี่จักรยานในเมืองเล็กๆ ซึ่งมีวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าในชั่วโมงเร่งด่วนนั้นการจราจรด้วยจักรยานมีความหนาแน่นแค่ไหนอีกด้วย คุณอาจจะตกใจที่รู้ว่า 33 เปอร์เซ็นต์ ของการเดินทางในเมืองนั้นคือการเดินทางด้วยจักรยาน และการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวมีเพียง 19 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การปั่นจักยานในเมืองยูเทรกต์ได้รับการยอมรับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ไปเสียแล้ว ผู้บริหารท้องถิ่นได้วางแผนการสร้างลานจอดจักรยานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ใกล้กับ Central Railway Station โดยลานจอดรถจักรยานแห่งนี้สามารถรองรับจักรยานได้มากถึง 12,500 คัน และใช้งบประมาณในการก่อสร้างประมาณ 58 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าเมืองยูเทรกต์ให้ความสำคัญกับการปั่นจักรยานอย่างมาก


4.  เมืองเซบียา (Seville) ประเทศสเปน


เมืองเซบียาเป็นตัวอย่างที่มากๆ ของการพัฒนาเส้นทางการการปั่นจักรยาน จะเห็นได้ว่าในปี 2006 เปอร์เซ็นต์ของชาวเมืองที่ใช้จักรยานในการสัญจรไปมานั้นยังน้อยมาก แต่เมื่อมีการวางโครงการพัฒนาการปั่นจักรยานในเมืองอย่างจริงจัง จึงได้เห็นเส้นทางของจักรยานมากกว่า 80 กิโลเมตร ที่สร้างขึ้นมาในระยะเวลาแค่ไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนของนักปั่น และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะยังมีประชาชนให้ความสนใจกับการเดินทางด้วยจักรยานในจำนวนที่น้อยอยู่ แต่รัฐบาลท้องถิ่นก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเส้นทางการปั่นจักรยานต่อไป เพื่อผลประโยชน์ของชาวเมืองในอนาคต


5. เมืองบอร์โด (Bordeaux) ประเทศฝรั่งเศส


ทุกๆ ประเทศต่างต้องการที่จะมีหนึ่งเมืองเป็นเมืองที่จะก้าวไปสู่การได้รับรางวัล ซึ่งสามารถโชว์ได้ว่าเมืองนั้น ๆ สามารถประสบความสำเร็จทั้งในด้านความมั่นคง นวัตกรรม ไปพร้อม ๆ กับความเชื่อ สำหรับปีที่ผ่านมาเมืองบอร์โด ก็ได้พัฒนาอย่างโดดเด่นในการพัฒนาโครงการปั่นจักรยาน แม้ว่ายังมีนักปั่นไม่มากนักในเมืองนี้ แต่ก็ได้มีการลงทุนมหาศาลสำหรับเส้นทางและเลนสำหรับรถจักรยานให้เข้าถึงกันไปทั่วทั้งเมือง ปัจจุบันมีเส้นทางจักรยานประมาณ 200 กิโลเมตร และยังมีการพัฒนาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งมันจะกลายเป็นเมืองชั้นนำในการปั่นจักรยานในไม่ช้า


6. เมืองมัลเมอ (Malmo) ประเทศสวีเดน


เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการปั่นจักรยานในเมือง และเป็นเมืองที่มีการปั่นจักรยานใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศสวีเดนเลยทีเดียว ซึ่งมีการวางโครงสร้างเส้นทางและการขยายแผนการเดินทางด้วยจักรยานมาจากเมือง Copenhagen ประเทศเดนมาร์ก อีกทั้งกำลังจะเป็นเมืองตัวอย่างให้เมืองที่เหลือของประเทศสวีเดน สิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยนักปั่นได้อย่างดีเยี่ยมก็คือการที่สามารถค้นหาเส้นทางของจักรยานได้จาก GPS โดยจัดทำขึ้นมาเพื่อให้ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวเมืองได้ใช้ชีวิตด้วยจักรยานอย่างง่ายขึ้น


7. เมืองมอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดา


เมืองมอนทรีออลเป็นเมืองแรกๆ ของทางฝั่งอเมริกาเหนือที่มีการพัฒนาเส้นทางการปั่นจักรยานในเมืองอย่างแท้จริง แรกเริ่มเดิมทีการปั่นจักรยานไม่ได้เป็นแค่เพียงการปั่นเพื่อไปทำงานหรือทำธุระเท่านั้น แต่ยังใช้ในการรองรับชีวิตภาคกลางคืนอีกด้วย ในทางการเมืองพรรคต่าง ๆ นำเรื่องการพัฒนาเส้นทางการปั่นจักรยานมาเป็นหนึ่งในนโยบายของการหาเสียงเลือกตั้ง มันจึงเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับประชาชน เพราะนักการเมืองจะแข่งขันกันเพื่อให้ได้การพัฒนาเกี่ยวกับการปั่นจักรยานในรูปแบบที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญมากๆ ในการได้คะแนนเสียง นอกจากเส้นทางจักรยานที่ปลอดภัยและสะดวกสบายแล้ว นักท่องเที่ยวยังจะได้ชื่นชมกับความงดงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมของโบสถ์และอาคารเก่าแก่ของเมืองมอนทรีออลอีกด้วย


8. กรุงโตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น


โตเกียวเป็นเมืองที่มีระบบการจัดการกับการปั่นจักรยานในเมืองที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยพื้นที่ที่มีจำกัดและการจราจรที่คับคั่งทำให้ชาวญี่ปุ่นหันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทางกันค่อนข้างมาก รัฐบาลญี่ปุ่นจึงจัดสรรเส้นทางสำหรับจักรยานไว้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งมีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก และยังสะดวกสบายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการดื่มด่ำกับเมืองโตเกียวอย่างแท้จริง ก็สามารถเลือกใช้จักรยานในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ในเมืองได้โดยที่ไม่ต้องไปสัมผัสกับความวุ่นวายของการจราจรบนท้องถนนหรือรถไฟฟ้า สะดวกสบาย ปลอดภัย ร่าเริงได้ตลอดทริปจริงๆ


9. เมืองรีโอ เด จาเนโร (Rio de Janeiro) ประเทศบราซิล


ในการที่ได้เป็นเมืองจัดการแข่งขันฟุตบอลเวิลด์คัพ 2014 (2014 World Cup) และกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนในปี 2016 ทำให้เมืองรีโอ เด จาเนโร มีการเตรียมความพร้อมรองรับทั้งนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลที่จะมาเยือน รวมไปถึงเส้นทางการปั่นจักรยานด้วย ซึ่งเส้นทางสามารถเชื่อมต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวและจุดสำคัญภายในเมือง โดยเฉพาะชายหาดที่สวยงามอย่าง Copacabana beach การพัฒนาเส้นทางการปั่นจักรยานยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง เพื่อการอำนวยความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวได้มากที่สุด

สำหรับกรุงเทพมหานครฯ ก็ได้มีการจัดทำเส้นทางสำหรับจักรยานขึ้นบ้างแล้วในบางพื้นที่ ซึ่งใครที่ชอบปั่นจักรยานไม่ว่าจะเพื่อไปทำงานหรือท่องเมืองกรุงฯ ก็ต้องระมัดระวังและใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างหมวกกันน็อกไว้ด้วย เพราะเส้นทางจักรยานบางเส้นไม่ได้เชื่อมต่อกัน อาจจะต้องอาศัยช่องทางสำหรับรถยนต์ในการขับขี่ ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด


ที่มา :