Diana Krall Wallflower World Tour, Live in Bangkok 2016

คอนเสิร์ต

Diana Krall Wallflower World Tour, Live in Bangkok 2016

  • calendar-white

    วันที่แสดง วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559

  • pin-linear-white

    สถานที่แสดง รอยัล พารากอน ฮอลล์

  • clock-white

    ประตูเปิด ก่อนการแสดงเริ่มประมาณ 30 นาที

  • calendar-sale-white

    วันเปิดจำหน่าย วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2558, 10:00 น.

แชร์
Diana Krall Wallflower World Tour, Live in Bangkok 2016

ผังการแสดง & รอบการแสดง

วันที่แสดง
เวลา
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559


ส่วนลด10% ให้บัตรในเครือ water library เฉพาะจุดจำหน่ายเท่านั้น

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

บัตรเครดิต เดบิตกสิกรทุกประเภท รับส่วนลด 10% ไม่จำกัดจำนวน (เฉพาะที่จุดจำหน่าย TTM เท่านั้น)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

รับส่วนลด 10% เมื่อแสดงบัตร M Card ที่จุดจำหน่าย

รายละเอียด

Diana Krall Wallflower World Tour, Live in Bangkok 2016
 

ในโลกของเสียงดนตรี ศิลปินเลือกที่จะเก่งในสายเล่นหรือสายร้อง คนที่เลือกทั้งร้องทั้งเล่นให้ได้ดีนั้นหายาก มีศิลปินเพียงไม่กี่คนในโลกที่เลือกทำทั้งสองอย่างแล้วประสบความสำเร็จ “ไดอานา ครอลล์” คือหนึ่งในศิลปินที่มีพรสวรรค์ที่ประสบความสำเร็จทั้ง 2 อย่าง
 
“ไดอานา ครอลล์” ศิลปินนักร้อง และนักเปียโน ชาวแคนาดา หนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เจ้าของห้ารางวัลแกรมมี่ กับการทำงานดนตรีมากว่า 20 ปี มีผลงานถึง 12 สตูดิโออัลบั้ม ความสำเร็จต่างๆ ไม่ได้ทำให้เธอหยุดที่จะแสวงหาการทำงานในฐานะที่แตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ Barbra Streisand หรือเป็นผู้ทำงานเรียบเรียงดนตรีให้กับ Paul McCartney หรือจะไปร่วมออกทัวร์กับ Neil Young เธอทำมาทั้งหมด และทำได้สมบูรณ์ในทุกฐานะจากมือเปียโน นักร้อง ออกทัวร์ไปทั่วโลก ไปจนถึงงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นศิลปินหญิงสายแจ้สที่มียอดขายอัลบั้มมากที่สุดในช่วง30 ปีที่ผ่านมา
 
ผลงานอัลบั้มล่าสุด Wallflower ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เธอทำงานแบบไร้พรมแดนทางดนตรี เมื่อเธอนำเพลงโปรดของพ่อ และเพลงที่มาจากความทรงจำในวัยเด็กของเธอกับโลกของเพลงป็อป แรงบันดาลใจจากบทเพล งและเสียงดนตรีนำมาร้องและเล่นในแบบของเธอ โดยเป็นการร่วมงานของเธอกับ เดวิด ฟอสเตอร์ ที่ต่างดึงเอาความสามารถความถนัดมาสร้างความหมายใหม่ให้กับเพลงอย่าง California Dreaming (The Mamas and the Papas), Desperado (Eagles), I Can’t Tell You Why (Eagles), Sorry Seems To Be The Hardest Word (EltonJohn), I’m Not In Love (10cc), Don’t Dream It’s Over (Crowded House), If I TakeYou Home Tonight (Paul McCartney), Alone Again (Naturally) (Gilbert O'Sullivan), Wallflower (Bob Dylan) งานเพลงออกมาไม่ได้เรียบง่ายเป็นป๊อปแจ้ส แต่มันคือเสียงของดนตรีป๊อปที่เต็มในความรู้สึกถ่ายทอดผ่านเสียงร้องสุดวิเศษของ ไดอานา ครอลล์ และการทำดนตรีในแบบที่เป็นเสียงป๊อปสวยพิสุทธิ์ของ เดวิด ฟอสเตอร์
 
ไดอานา ครอลล์ เกิดในเมืองเล็กๆชื่ อ Nanaimo ในแคนาดาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 1964 เสียงเพลงของ Fats Waller จากแผ่นเสียงเพลงของคุณพ่อที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กกับเสียงเปียโนของแม่และคุณยายเป็นแรงบันดาลใจแรกของเธอ แต่พ่อและแม่ของเธอก็ไม่เคยอยากให้ลูกเดินบนเส้นทางสายศิลปิน เธอเริ่มเล่นเปียในตั้งแต่อายุ 5 ขวบโดยเริ่มเรียนและฝึกที่บ้านคุณยายของเธอหลังโรงเรียนเลิก เธอเรียนเปียโนคลาสสิค แต่ได้เล่นเปียโนแจ้สกับวงของโรงเรียนโดยมีอาจารย์และมือเบสชื่อ Bryan Stovell เป็นครูในขณะนั้น พออายุ 15 ปีเธอก็มีงานครั้งแรกกับการแสดงที่ร้านอาหารในบ้านเกิด สองปีต่อมาในวัย 17 ได้ทุนไปเรียนดนตรี Berklee College of Music ในบอสตันสหรัฐฯ กลับมาบ้านในปี 1982เธอมีโอกาสเข้าคอร์สดนตรี Jazzcamp และได้ดูโชว์ของ Jef fHamilton มือกลองของวง LA4 และ Ray Brown มือเบสระดับตำนาน และนั่นทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล สองศิลปินรุ่นพี่ชอบลีลาการร้องการเล่นและเห็นแววของไดอานาและไปบอกครอบครัวของของเธอให้เชื่อว่าลูกสาวคนนี้จะต้องประสบความสำเร็จในสายดนตรีแน่นอน ซึ่งต่อมาเธอก็ได้ทุนอีกครั้งจาก Canada Arts Council เพื่อมาศึกษาต่อในแอลเอ ที่นั่นเธอได้ครูดีคือ Jimmy Rowles มือเปียโนที่เคยเล่นกับนักร้องดังเช่น Billie Holiday และ PeggyLee ช่วยให้เธอยังพัฒนาทั้งการเล่นและเสียงร้องจากการแนะนำของเขาจนได้ออกแสดงหลายแห่งในแอลเอ ในปี 1984กลับมาเรียนกับ Don Thompson มือเบสและเปียโนฝีมือดีอีกคนอีกคนในเมืองโตรอนโต้ หลังจากนั้นในปี 1990 เธอเดินทางไปนิวยอร์คเพื่อไปเรียนต่อกับ Mike Renz I และเล่นดนตรีในแบบวงทรีโอในย่านบอสตัน ปี 1993 เธอมีผลงานอัลบั้มแรก Stepped Out งานในแจ๊สทรีโอที่ได้รับคำชอบไปมากมายจากนักวิจารณ์ และไปเข้าตาค่ายเพลงใหญ่ในยุคนั้นคือ GRP 1994 ออกผลงานอัลบั้มที่สองกับค่าย GRP ในชื่อ Only Trust Your Heart งานที่สะท้อนความแรงในตัวตนของเธอในฐานะนักร้องนักดนตรีรุ่นใหม่และครั้งนี้เธอยังได้ทำงานกับผู้ที่มีส่วนผลักดันเธอคือ Ray Brown มาเล่นเบสในอัลบั้มนี้หลายเพลง ปีต่อมา 1994 ออกอัลบั้ม All For You งานที่เป็นการคารวะให้กับ Nat King Cole Trio งานนี้มีมือกีตาร์ฝีมือดีอย่าง Russell Malone มาร่วมแจม เพลงเด่นๆอย่าง Gee Baby, Ain't I Good to You ปีต่อมาเธอออกอัลบั้ม Love Scenes งานทรีโอที่มี Christian McBride มาเล่นเบสและ Russell Malone เล่นกีตาร์เช่นเคย มีเพลง How Deep Is the Ocean (How High Is the Sky) เป็นเพลงเอกของอัลบั้มนี้ ปี 1998 ออกอัลบั้มที่ห้า When I Look In Your Eyes งานที่มี Tommy LiPuma และ Al Schmitt มาดูแลการผลิตและเป็นงานที่ทำให้เธอคว้ารางวัลแกรมมี่เป็นครั้งแรกในสาขา Best Jazz Vocal Performance และ Best Engineered Album และเป็นครั้งแรกที่ได้ทำงานกับ David Foster ในเพลงพิเศษของอัลบั้ม Why Should I Care? อัลบั้มต่อมาในปี 2002 กับ The Look of Love งานที่นำเพลงดังอมตะอย่าง S Wonderful, Besame Mucho, The Look of Love มาทำใหม่กับวงออร์เคสตราในการอำนวยเพลงของ Claus Ogerman อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลแกรมมี่สาขา Best Engineered Album และเป็นงานที่ส่งให้เธอมีชื่อเสียงไปทั่วโลก  
 
ปีต่อมาเธอออกอัลบั้มแสดงสดเป็นครั้งแรกกับ Live in Paris งานที่แสดงให้เห็นความสามารถทั้งร้องทั้งเล่นของเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ 12 เพลงที่คัดมาในแบบ Great American Songbooks ทำให้เธอรับรางวัลสาขา Best Jazz Vocal Performance ไปอีกครั้ง ปี 2004 ออกอัลบั้ม The Girl in the Other Room 
ผลงานนี้เป็นอัลบั้มที่มีเพลงแต่งใหม่โดยเธอและ Elvis Costello มาใส่ไว้เป็นหลักและเกือบทั้งอัลบั้มเป็นงานเพลงจากโลกของเพลงร็อคกับเพลงจากศิลปินอย่าง Tom Waits, Joni Mitchell, Bonnie Raitt มีเพลงเด่นอย่าง Narrow Daylight ปี 2005 ออกผลงานเพลงคริสต์มาสในชื่อ Christmas Songs โดยนำเพลงเทศกาลที่คุ้นหูมาร้องใหม่และมีเพลงดังอย่าง Jingle Bells ในเวอร์ชั่นสวิงมาฝากแฟนเพลง ถัดมาหนึ่งปีก็ออกอัลบั้มใหม่ From This Moment On อีกครั้งที่เธอกลับไปถ่ายทอดงานในแบบ American Songbooks ด้วยวัยและความสามารถทำให้งานชุดนี้ประสบความสำเร็จและได้รับคำชมอย่างมากทั้งจากแฟนเพลงและนักวิจารณ์  ปี 2009 ไดอาน่าได้เวลาบอสซ่าในอัลบั้ม Quiet Nights เธอเลือกนำเพลงเด่นหลายเพลงของ Antonio Carlos Jobim นักแต่งเพลงชื่อดังชาวบราซิลมาขับร้อง และกลับมาทำงานร่วมกับ Claus Ogerman อีกครั้ง ผลงานอัลบั้มนี้ยังคว้าแกรมมีในสาขา Best Instrumental Arrangement Accompanying Vocalist มาครองอีกด้วย สามปีต่อมาในอัลบั้ม Glad Rag Doll เธอพาเราย้อนยุคกับไปหาดนตรีในยุค 1920 –1930 และเป็นการทำงานกับโปรดิวเซอร์ฝีมือดีอย่าง T-Bone Burnett มีเพลงไพเราะอย่าง Lonely Avenue ล่าสุดเธอโดดเข้าหาดนตรีป็อปอย่างเต็มตัวกับอัลบั้ม Wallflower งานที่มี David Foster ดูแลการผลิตและมี Michael Bublé และ Bryan Adams มาร่วมร้องในอัลบั้ม 20 กว่าปีบนเส้นทางศิลปินไดอานา ครอลล์ มีผลงานจำหน่ายไปมากกว่า 22 ล้านอัลบั้ม เธอประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งในฐานะนักร้อง นักเปียโน และการแสดงสดที่เหมือนเป็นหัวใจของดนตรีสายนี้ 

ขอเชิญทุกท่านร่วมรับชมสุดยอด นักดนตรีระดับโลก Diana Krall Wallflower World Tour Live in Bangkok ที่รอยัล พารากอนฮอลล์ สยาม พารากาอน ชั้น 5 วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 นี้
บัตรราคาบัตร 5,500 / 4,500 / 3,500 / 2,500 / 2,000 / 1,500 บาท
 
ซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiticketmajor.com