ซานทาน่า ไลฟ์ อินแบ็งคอค การกลับมาของราชาละตินร็อค

ซานทาน่า ไลฟ์ อินแบ็งคอค การกลับมาของราชาละตินร็อค

 
 

ศิลปิน :

ซานทาน่า (Santana)
วันแสดง : วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2554
เวลาแสดง : 20.30 น. ประตูเปิด 19.30 น.
สถานที่ : อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี
ราคาบัตร : 1,000 / 2,000 / 3,000 / 3,500
และโกลด์แพคเกจ 4,500 บาท
จำหน่ายบัตร : บูธไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
จุดจำหน่ายตั๋วเมเจอร์ และอีจีวี
รายละเอียดเพิ่มเติม : 02-262 3838
www.thaiticketmajor.com
www.bectero.com
official site : www.santana.com

อีกครั้งกับการกลับมาเปิดคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่ในเมืองไทยของราชาละตินร็อค คาร์ลอส ซานทาน่า  (Carlos Santana)  โดย บีอีซี-เทโร  จับมือ  สิงห์ คอร์เปอเรชั่น  ร่วมด้วย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การบินไทย และธนาคารกรุงเทพ  มอบความสุขให้กับคนไทยในวันอังคารที่ 1 มีนาคม 2554 ณ อิมแพคอารีน่า เมืองทอง ธานี

เกือบ 40 ปีในวงการเพลง ราชาแห่งเพลงละตินร็อค ที่มีชื่อบรรจุอยู่ใน ร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ด้วยเอกลักษณ์ในการเล่นกีตาร์ ซึ่งไม่เหมือนใคร ซานทาน่า สร้างสรรค์ผลงานเพลงที่โด่งดังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แบล็คเมจิค วูแมน ( Black Magic Woman), Oye Como Va,  ยูโรปา (Europa), Jingo, Samba Pa Ti, El Farol    สมูธ (Smooth)  เดอะ เกม ออฟ เลิฟ (the Game of Love)  และได้ร่วมงานกับนักดนตรีระดับโลกอีกหลายคนรวมทั้ง อีริค แคลปตัน

ซานทาน่า ได้รับการยกย่องจากนิตยสารโรลลิ่ง สโตน ให้เป็นหนึ่งใน 100 มือกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล (100 Greatest Guitarists Of All Time)  เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง ยาวนานอย่างต่อเนื่อง และมีกลุ่มแฟนเพลงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัลบั้ม ซูเปอร์เนเชอรัล (Supernatural)  ที่ออก มาในปี 2542 คือปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเพลงด้วยสถิติเป็นอัลบั้มที่ได้รางวัลมากที่สุด ตลอดกาล อยู่บนชาร์ท Billboard ยาวนานถึง 102 สัปดาห์  และติดอันดับ 1 นานถึง 12 อาทิตย์ ความสำเร็จของอัลบั้มนี้มาจากเพลงอันดับหนึ่ง สมูท (Smooth)  ซึ่งเป็นการร่วมงานกับ ร็อบ โทมัส (Rob Thomas) จากวง แมทช์บอกซ์ทเวนตี้ (Matchbox Twenty)] และเพลง มาเรีย มาเรีย (Maria Maria) ร่วมร้องโดย โปรดัก จี แอนด์ บี (Product G&B)   นอกจากนี้อัลบั้มซุปเปอร์เนเชอรัลยังได้รับ 10 รางวัล แกรมมี่อวอร์ด” (GRAMMY awards) จากสาขา“อัลบั้มแห่งปี” (Album Of the Year), “อัลบั้ม ร็อคยอดเยี่ยม” (Best Rock Album) ,“เพลงบันทึกเสียงแห่งปี” (Record Of the Year), “เพลงแห่งปี” (Song of the Year) และ “รางวัลศิลปินเพลงป๊อปยอดเยี่ยม ประเภทคู่ /ศิลปินรับเชิญ ” (Best Pop Collaboration)  “นักร้องคู่หรือกลุ่มป็อปยอดเยี่ยม” (Best Pop Performance by a Duo/Group) “นักร้องคู่หรือกลุ่มร็อคยอดเยี่ยม” (Best Rock Performance by a Duo/Group)    “ศิลปิน ร็อคยอดเยี่ยม ประเภทบรรเลง” (Best Rock Instrumental Performance) “ศิลปินป๊อปยอดเยี่ยม ประเภทบรรเลง” และในปีเดียวกันรางวัลแกรมมีอวอร์ดก็ได้เปิดตัวรางวัลเพลงสาขาละติน (เป็นปีแรก) ซึ่งเพลง “โคราซอน เอสปีนาโด” (Corazon Espinado) ที่ได้ “มานย่า” (Maná) ร่วมขับร้องก็คว้ารางวัล “เพลงบันทึกเสียงแห่งปี” (Record Of the Year)  และ  “นักร้องคู่หรือกลุ่มร็อคยอดเยี่ยม” (Best Rock)

 
 

ซานทาน่ายังคงสร้างสรรค์ผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอัลบั้ม “ชามาน” (Shaman) ที่ออกวางในปี 2545   ที่มีเพลงดัง “เดอะเกมออฟเลิฟ” (The Game of Love) ที่ร่วมงานกับ “มิเชล บรานช์” (Michelle Branch)  อัลบั้มอัลทิเมท ซานทาน่า (Ultimate Santana) ที่วางแผงในปี 2007  และล่าสุดอัลบั้ม กีตาร์ เฮเว่น เดอะ เกรเทส กีตาร์ คลาสสิก ออฟ ออล เดอะ ไทม์ (Guitar Heaven …The Greatest Guitar  Classic of all theTtime )

แฟนเพลงชาวไทยเตรียมพบกับเพลงฮิตมากมายของราชาละตินร็อคผู้นี้ได้ในคอนเสิร์ต  “ซานทาน่า ไลฟ์ อิน แบ็งคอค”  วันที่ 1 มีนาคม 2554  ณ อิมแพค อารีน่า    เมืองทองธานี บัตรราคา 1,000 / 2,000 / 3,000 / 3,500 และโกลด์แพคเกจ 4,500 บาท   จำหน่ายที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา ไปรษณีย์ไทย 52 สาขา กรุงเทพฯ และปริมณฑล จุดจำหน่ายตั๋วของเมเจอร์ และอีจีวี สอบถามโปรโมชั่น และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiticketmajor.com  โทร 02-262 3838

และนี่คืออีกหนึ่งโปรดักชั่นของ บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเม้นท์

ประวัติคาร์ลอส ซานทาน่า

 
 

ข้อมูลแปลจาก official website : www.santana.com

เมื่อ “คาร์ลอส ซานตาน่า” (Carlos Santana) ได้รับการทาบทามจากเพื่อนเขาอย่าง “ไคล์ฟ เดวิส” (Clive Davis) เพื่อพูดคุยถึงคอนเส็ปอัลบั้มใหม่  มือกีต้าร์ในตำนานและหัวหน้าวงอย่างซานตาน่าก็สงวนถ้อยคำดั่งเช่นที่เขาเป็น และต่อมา กีต้าร์คลาสสิคก็เป็นโปรเจคส์ที่ซานตาน่าเปรียบดั่งเป็นโมนาลิซ่าที่ได้รับ การปั้นแต่งโดยดาวินชี่ในยุคนี้ อัลบั้มที่เต็มไปด้วยมือกีต้าร์ในตำนานเช่น“จิมมี่ เฮนดริกซ์” (Jimmi Hendrix) “อีริค แคลปตัน” (Eric Clapton) “จอร์จ แฮริสัน” (George Harrison) ซานตาน่านำความเป็นเอกลักษณ์ของตนไปวางบนตำนานกีต้าร์เหล่านี้ได้อย่างไรกัน

และมันก็ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อขั้นตอนในการเลือกเพลงเริ่มขึ้น การสร้างสรรค์อัลบั้ม “กีต้าร์เฮฟเว่น: เดอะเกรทเทสกีต้าร์คลาสสิคส์ออฟออลไทม์” (GUITAR HEAVEN: THE GREATEST GUITAR CLASSICS OF ALL TIME) กลายเป็นอัลบั้มที่เกิดขึ้นด้วยแรงใจของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตัวซานตาน่าเอง วงดนตรีของซานตาน่า (บันทึกเสียงสตูดิโออัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกด้วยกัน) นักร้องชั้นนำแถวแนวหน้าซึ่งได้รับการเลือกบทเพลงให้อย่างพิถีพิถัน โปรดิวเซอร์ที่สร้างสรรค์เพลงฮิตอย่าง “โฮวาร์ด เบนสัน” (Howard Benson) และ “แมท เซอร์เลติก” (Matt Serletic) และทีขาดไม่ได้นั่นคือไคล์ฟ เดวิส บุคคลที่ร่วมงานกับซานตานามาตลอดตั้งแต่ยุคคริสศักราช 1960 ถึงยุคคริสศักราช 2000 และพวกเขาก็เริ่มการทำงานในศักราช 2010 ด้วยอัลบั้มกีต้าร์เฮฟเว่นนี้

ไคล์ฟได้เผยถึงจุดเปลี่ยนซึ่งก็คือ “เมื่อซานตาน่าโทรมาหาผม” ไคล์ฟได้เลียนเสียงซานตาน่าแล้วกล่าวถึงสิ่งที่ซานตาน่าพูดกับเขา “นายรู้มั้ย มีคนสามคนที่ฉันไว้ใจ ฉันไว้ใจ ‘บิล เกรแฮม’ (Bill Graham) ในด้านดนตรีฉันไว้ใจ  ‘ไมล์ส เดวิส’ (Miles Davis) และฉันก็ไว้ใจนาย แล้วนี่ก็เป็นเวลาที่จะสานต่อความไว้ใจนั้นและฉันจะเดินหน้าทำมัน” ซานตาน่าได้เน้นประเด็นแห่งความไว้ใจโดยกล่าว่า “การทำงานในอัลบั้มนี้ต้องอาศัยความไว้วางใจกันเป็นอย่างสูง เริ่มตั้งแต่ ‘โฮวาร์ด เบนสัน’ (Howard Benson) ‘แมท เซอร์เลติก’ (Matt Serletic) และบรรดาศิลปินนักร้องชั้นยอดและเหล่านักดนตรีที่มากความสามารถ พวกเขาต้องไว้ใจผม และผมก็ไว้ใจไคล์ฟ ถือเป็นโซ่ต่อแห่งความรักซึ่งเป็นคือความรักชั้นสูงสุดที่หาได้ในโลกนี้ นั่นคือ ‘ความไว้ใจ’”

การทำงานร่วมกันนี้จึงได้ระเบิดออกมา เป็นกีต้าร์เฮฟเว่น  เปิดด้วย “โฮลลอตตะเลิฟ” (Whole Lotta Love) โดย “เล็ด เชฟพลิน” (Led Zeppelins) ที่ได้ “คริส คอร์แนล” (Chris Cornell) มาร่วมด้วย ตามด้วย “คานท์ยูเฮียมีน็อคกิ้ง” (Can’t You Hear Me Knockin) โดย “โรลลิ่งสโตน” (Rolling Stones) ที่ได้ “สก็อต เวลแลนด์” (Scott Weiland) มาร่วม จนปิดด้วยดนตรีที่มีกลิ่นแห่งเวทย์มนต์ดำอย่างเพลง “ไอเอนท์ซุปเปอร์สติเชียส’ (I Ain’t Superstitious) โดย “โฮลิ่งวูล์ฟ” (Howlin’ Wolf) จากวงของ “เจฟฟ์ เบ็ค” (Jeff Beck) ที่ได้ “จอนนี่ แลง” (Jonny Lang) มาร่วมร้อง     

ด้วยความรู้และความชำนาญในเพลงร็อก ทั้งซานตาน่าและไคล์ฟ ได้กลั่นรายชื่อเพลงที่มือกีตาร์ทุกคนต้องรู้จักออกมา พร้อมกับเชิญนักร้องคุณภาพชื่อดังมาร่วมร้องเพลงแต่ละเพลง ตั้งแต่ “คริส คอร์แนล” (Chris Cornell) ในเพลง “โฮลลอตตะเลิฟ” (Whole Lotta Love) ของเล็ด เชฟพลิน รวมถึง “แพท โมนาฮาน” (Pat Monahan) ในเพลง “แดนซ์เดอะไนท์อเวย์” (Dance the Night Away) ของ “แวน ฮาเลน” (Van Halen) “เชสเตอร์ เบนนิงตัน” (Chester Bennington) และ “เรย์ แมนซาเรค” (Ray Manzarek) ในเพลง “ไรเดอร์สออนเดอะสตอร์ม” (Riders on the Storm) ของ “เดอะดอร์” (The Doors) “ร็อบ โทมัส” (Rob Thomas) ในเพลง “ซันไชน์ออฟยัวร์เลิฟ” (Sunshine Of Your Love) ของวง “ครีม” (Cream) “สก็อต เวลแลนด์” (Scott Weiland) ในเพลง  “คานท์ยูเฮียมีน็อคกิ้ง” (Can’t You Hear Me Knockin) ของ “โรลลิ่งสโตน” (Rolling Stones) “คริส โดห์ฟทรี้” (Chris Daughtry) ในเพลง “โฟโตกราฟ” (Photograph) ของ “เดฟ เลฟพาร์ด” (Def Leppard) “กาวิน รอสเดล” (Gavin Rossdale) ในเพลง “แบงอะกอง” (Bang A Gong) ของ “ทีเร็กซ์” (T. Rex) จนถึงแร็ปเปอร์ “แนส” (Nas) ในเพลง “แบคอินแบล็ค” (Back In Black) ของ “เอซี/ดีซี” (AC/DC) “โจ คอคเกอร์” (Joe Cocker) ในเพลง “ลิตเติ้ล วิง” (Little Wing) ของ “จิมมี เฮนดริกซ์” (Jimi Hendrix) และอื่นๆอีกมากมาย 

ซานตาน่า เข้าร่วมวงกับ “โจคอกเกอร์แอนด์เดอะกรีสแบนเซอร์ก้า” (Joe Cocker & the Grease Band circa) ในปีพ .. 2511 ซึ่ง เป็นปีที่อัลบั้ม “เอซิส โบลด์แอสเลิฟ” (Axis: Bold As Love catalyzed America) ของจิมี เฮนดริกซ์สร้างปรากฏการณ์ในประเทศอเมริกาขึ้น  เมื่อกล่าวถึงโจ คอกเกอร์ ซานตาน่าใช้คำว่า “บริสุทธิ์ แรกเริ่ม จริงใจ ... เขาทำในสิ่งที่ศิลปินที่ประสบความสำเร็จควรจะทำ เขาสามารถทำให้เวลาถูกเลือนไป แรงโน้มถ่วงหายไป และปัญหาถูกขจัดไปได้ ‘บ็อบ ดีแลน’ (Bob Dylan) เรียกว่า ‘ฟอร์เอฟเวอร์ยัง’ (forever young) แต่ผมถือเป็นสิ่งซึ่งสัมพันธ์กันชั่วนิรันดร์” บทเพลงลิตเติ้ลวิงของคอกเกอร์ (จากอัลบั้มเอซิส) นับเป็นเพลงที่โดดเด่นอีกหนึ่งเพลงในอัลบั้มกีต้าร์เฮฟเว่น

การจับคู่ทางดนตรีที่ลงตัวระหว่าง “อินเดีย อารี” (India Arie) และนักเชลโล่ชั้นเอกอย่าง “โย -โย มา ” (Yo-Yo Ma) ในเพลง “ไวล์มายกีต้าร์เจนทรี้วีพส์” (While My Guitar Gently Weeps) ของ “จอร์จ แฮริสัน” (George Harrison) ในซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มกีต้าร์เฮฟเว่น… “โอลิเวีย แฮริสัน” (Olivia Harrison) ถึงกับกล่าวกับซานตาน่าว่า “เมื่อฉันได้ฟังเพลงนี้ ฉันรู้สึกทั้งอยากหัวเราะอย่างมีความสุขและอยากจะร้องไห้ในเวลาเดียวกัน จอร์จเข้าใจดีถึงความหลงไหลและความเข้าอกเข้าใจของคุณ” ซานตาน่ากล่าวต่อว่า “จิตวิญญาณสำหรับผมคือ แม่ชีเทเรซ่า องค์ดาไลลามะและ ‘เดสมอน ทูทู่’ (Desmond Tutu) ‘มาลคอล์มเอ็กซ์’ (Malcolm X) ‘มาร์วิน เกย์’ (Marvin Gaye) ‘จิมี เฮนดริกซ์’ (Jimi Hendrix) ‘สตีวี่ วันเดอร์’ (Stevie Wonder) ‘อังเดร อากัสซี่’ (Andre Agassi) ไคล์ฟ ทุกคนเหล่านี้ทำในสิ่งที่ต้องทำเพราะว่าไม่มีสิ่งใดจะสุขไปกว่าการได้รับใช้ มนุษยชาติ”

นอกเหนือจากศิลปินรับเชิญแนวหน้าข้าง ต้นแล้ว ซานตาน่ายังกล่าวชื่นชมและบรรจุชื่อนักดนตรีที่ร่วมงานในอัลบั้มกีต้าร์เฮ ฟเว่นนี้ไว้ในอัลบั้ม นักดนตรีที่ร่วมสร้างตำนานประกอบด้วย “เดนนิส แชมเบอร์ส” (Dennis Chambers) (กลอง)“เบนนี่ ไรเอทเวล” (Benny Rietveld) (เบส) “คาร์ล เพอร์ราโซ” (Karl Perrazo) (กลองทิมบาเล่) “ทอมมี แอนโทนี” (Tommy Anthony) (ริธึมกีตาร์)  “เฟรดดี้ ราเวล” (Freddie Ravel) (คีย์บอร์ด) “แอนดี้ วาร์กัส” (Andy Vargas) (ร้องประสานเสียง) “ราอูล เรโคว” (Raul Rekow) (กลองคองก้า) “บิล ออร์ทิส” (Bill Ortiz) (ทรัมเปต) และ “เจฟ เครสแมน” (Jeff Cressman) (ทรอมโบน)

มีหลายเหตุผลที่ทำไมบทเพลงในอัลบั้ม กีต้าร์เฮฟเว่นถึงมีความหมายต่อคาร์ลอสซานตาน่ามากมายนัก แต่ที่ลึกซึ้งที่สุดคงจะเป็นที่ว่าดนตรีนั้นสะท้อนถึงชีวิตและช่วงเวลาของ ตัวเขาเอง ยกตัวอย่างเช่นเพลง “แบงอะกอง”ในปีพ .. 2515 ที่ นำเขาย้อนกลับไปสู่ช่วงชีวิตที่เขาทานมังสวิรัติที่สถานสอนศาสนาฮินดูของศรี ชินมอย (Sri Chinmoy) ในย่านจาไมกาในควีนส์นิวยอร์ค เดินไปตามถนนพาร์สันส์บูเลอวาร์ด (Parsons Boulevard) และรับประทานผักอย่างมะเขือ และได้ยินเพลงของวงทีเร็กซ์ออกมาจากหน้าร้าน หรือเช่นเพลง “ไรเดอร์สออนเดอะสตอร์ม” ที่ทำให้เขานึกถึงตอนที่ซื้อรองเท้าบู้ทหนังงูจากร้านในลอนดอนยุคที่พังค์ ร็อคอย่างเดอะเซ็กซ์พิสทอล (Sex Pistols) เฟื่องฟู ซานตาน่ากล่าว “แต่ร้านนี้ยังคงเปิดเพลงของ ‘เดอะดอรส์’ ดังออกมาและมันฟังแล้วเหมือนวง ‘บิทเชส บรูว’ (Bitches Brew) เหมือนวง ‘ไมลส์’ (Miles) มันคือเพลงอะไรกัน ? ฉันเคยได้ยินเดอะดอรส์มาก่อนแต่ดนตรีที่ยินที่นั่น...เมื่อผมเล่นเพลงนี้มันพาผมย้อนกลับไปยังที่นั่น

อัลบั้ม “กีต้าร์เฮฟเว่น: เดอะเกรทเทสกีต้าร์คลาสสิคส์ออฟออลไทม์” เป็นอัลบั้มที่ 4 สำหรับตำนานเพลงร็อคเก่าใหม่ เมื่อเขากลับมาร่วมงานกับไคล์ฟ เดวิสอีกครั้งในปี พ .. 2540 หลังจากไคล์ฟเข้าชมคอนเสิร์ตของซานตาน่าครั้งแรกในรอบหลายปี ที่เรดิโอซิตี้มิวสิคฮอลที่นิวยอร์ค [ในปีพ .. 2539 หนึ่ง ปีก่อนหน้านั้น ซานตาน่าได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจาก “บิลบอร์ดเซนจูรีอวอร์ด” (Billboard Century Award) ]  ในอดีตไคล์ฟเป็นผู้ชักจูงให้ซานตานาเซนต์สัญญาเข้าโคลัมเบียเรคคอร์ดในปีพ .. 2511 และได้ดูแลวงที่ก่อตัวขึ้นจนโด่งดังเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปทั่วโลกในปีพ .. 2512 ในยุคเซเว่นตี้ (2513 -2523 ) ทั้งสองคนได้ต่างเดินไปตามทางของตัว แต่อีกสามสิบปีให้หลังพวกเขาก็ได้มาบรรจบกันอีกครั้งด้วยสัมพันธภาพที่แน่น แฟ้นยิ่งกว่าครั้งไหน เมื่อไคล์ฟได้ยินซานตาน่าบอกกับเขาว่าลูกชายวัยรุ่นของเขาไม่ได้ยินเพลงฮิต ของซานตาน่าบ้างเลยตามรายการวิทยุ จุดมุ่งหมายของไคล์ฟเพื่อเพื่อนเก่าแก่ของเขาก็เด่นชัดขึ้น

และใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าจะ ได้อัลบั้มขึ้น ในระหว่างนั้น ซานตาน่าได้รับเกียรติให้มีชื่ออยู่ใน “ร็อคแอนด์โรลฮอลลออฟเฟม” (Rock And Roll Hall Of Fame)  ในปีพ .. 2541 เมื่ออัลบั้ม “ซุปเปอร์เนเชอรัล” (Supernatural) ออกวางในปีพ .. 2542 ปราก ฎการณ์แห่งอุตสาหกรรมทางดนตรีก็ได้อุบัติขึ้น เฉพาะในประเทศอเมริกาอัลบั้มได้กวาดยอดขายแผ่นเสียงทองคำขาวจากสมาคม อุตสาหกรรมบันทึกเสียงแห่งอเมริกา หรือ RIAA ถึง 15 ครั้ง และกวาดยอดขายทั่วโลกกว่านั้นอีกสองเท่า ติดอันดับ 6 อัลบั้มขายดีตลอดกาลของ “ซาวด์สแกน” (SoundScan) อัลบั้มซุปเปอร์เนเชอรัลครองอันดับในชาร์ตบิลบอร์ดถึง 102 สัปดาห์ และติดอันดับ 1 นานถึง 12 อาทิตย์ ความสำเร็จของอัลบั้มนี้มาจากเพลงอันดับหนึ่ง “สมูท” (Smooth) [ติดอันดับ 1 ที่ชาร์ตบิลบอร์ด 12 สัปดาห์ เพลงที่ร่วมประพันธ์และขับร้องโดย “ร็อบ โทมัส” (Rob Thomas) จากวง “แมทช์บอกซ์ทเวนตี้” (Matchbox Twenty)] และเพลง “มาเรีย มาเรีย” (Maria Maria) [ติดอันดับ 1 ที่ชาร์ตบิลบอร์ด 10 สัปดาห์ วงโปรดัก ร่วมร้องโดย “โปรดัก จี แอนด์ บี” (Product G&B) ถึงตอนนี้กล่าวได้ว่าลูกๆของซานตาน่าคงได้ยินเพลงของพ่อเขาตามวิทยุไปอีกนาน

อัลบั้มซุปเปอร์เนเชอรัลได้รับรางวัล “แกรมมี่อวอร์ด” (GRAMMY awards) 9 รางวัล เป็นสถิติตลอดกาลที่ได้รางวัลทั้งหมดจากอัลบั้มเดียว เพลง “สมูท” คว้ารางวัล “อัลบั้มแห่งปี” (Album Of the Year) “อัลบั้ม ร็อคยอดเยี่ยม” (Best Rock Album) “เพลงบันทึกเสียงแห่งปี” (Record Of the Year) “เพลงแห่งปี” (Song of the Year) และ “รางวัลศิลปินเพลงป๊อปยอดเยี่ยม ประเภทคู่ /ศิลปินรับเชิญ ” (Best Pop Collaboration) เพลง “มาเรียมาเรีย” ได้รางวัล “นักร้องคู่หรือกลุ่มป็อปยอดเยี่ยม” (Best Pop Performance by a Duo/Group) เพลง  “พุทยัวร์ไลทส์ออน” (Put Your Lights On) ที่มี “เอเวอร์ลาส” (Everlast) ร่วมร้องได้รางวัล “นักร้องคู่หรือกลุ่มร็อคยอดเยี่ยม” (Best Rock Performance by a Duo/Group)  เพลง “เดอะคอลลิ่ง” (The Calling) ที่ร่วมร้องโดย “อีริค แคลปตัน” (Eric Clapton) ได้รางวัล “ศิลปินร็อคยอดเยี่ยม ประเภทบรรเลง” (Best Rock Instrumental Performance) และเพลง “เอล ฟารอล” (EL Farol) ได้รางวัล “ศิลปินป๊อปยอดเยี่ยม ประเภทบรรเลง” และในปีเดียวกันรางวัลแกรมมีอวอร์ดก็ได้เปิดตัวรางวัลเพลงสาขาละติน (เป็นปีแรก) ซึ่งเพลง “โคราซอน เอสปีนาโด” (Corazon Espinado) ที่ได้ “มานย่า” (Maná) ร่วมขับร้องก็คว้ารางวัล “เพลงบันทึกเสียงแห่งปี” (Record Of the Year)  และ  “นักร้องคู่หรือกลุ่มร็อคยอดเยี่ยม” (Best Rock

ความสำเร็จของอัลบั้มซุปเปอร์เนเชอรัลนั้นยากที่จะเทียบได้ แต่อัลบั้ม “ชาแมน” (Shaman) ที่ออกวางในปีพ .. 2545  ยังคงสานต่อความสำเร็จของอัลบั้มซุปเปอร์เนเชอรัลได้ด้วยยอดขายระดับแผ่นเสียงทองคำขาวอันดับหนึ่งอีกมากมาย ครองอันดับชาร์ต 5 อันดับแรกด้วยเพลงที่ชนะรางวัลแกรมมี่อย่าง “เดอะเกมออฟเลิฟ” (The Game of Love) ที่ร่วมงานกับ “มิเชล บรานช์” (Michelle Branch)  และเพลงที่ติด 10 อันดับแรกอย่าง “วาย ด้อนท์ยูแอนด์ไอ” (Why Don’t You and I) ที่ได้ร่วมงานกับ “แชด โครเกอร์” (Chad Kroeger) และ “นิคเคิลแบค” (Nickelback) อัลบั้มชาแมนนี้ยังมีศิลปินชั้นนำมาร่วมแจมอีกมายกมายเช่น “ไดโด้” (Dido) “ซิตี้เซนโคพ” (Citizen Cope) “แพลซิโด โดมินโก้”(Placido Domingo) “เมซี่ เกรย์” (Macy Gray) “อเลฮานโดร เลิร์นเนอร์”( Alejandro Lerner) “มิวซิค” (Musiq) “โอโซแมทลี” (Ozomatli) “พีโอดี” (P.O.D.) และ “ซีล”(Seal)  

อัลบั้มที่ 3 ที่เป็นอัลบั้มร่วมงานกับศิลปินชั้นแนวหน้าคืออัลบั้ม “ออลแดทไอแอม” (All That I Am) ซึ่งทำยอดขายได้เป็นอันดับ 2 บนชาร์ตซาวด์สแกนในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย มีเพลงเด่นคือ “จัสฟิลเบทเทอร์” (Just Feel Better) ที่ร่วมงานกับ “สตีเว่น ไทเลอร์” (Steven Tyler) จากวง“แอโรสมิท” (Aerosmith) ศิลปินที่มาร่วมแจมในอัลบั้มนี้คนอื่นๆประกอบด้วย “บิ๊กบอย” (Big Boi) จากวง“เอ้าท์คาส” (OutKast) และ “แมรี เจ ไบล์ก” (Mary J” Blige) ในเพลง “มายแมน” (My Man) “วิล ไอ แอม” (will.i.am) จากวง “แบล็คอายพี” (Black Eyed Peas) ในเพลง “ไอแอมซัมบอดี้” (I Am Somebody) “จอส สโตน” (Joss Stone) และ“ฌอน พอล” (Sean Paul) ในเพลง “ครายเบบี้คราย” (Cry Baby Cry) “มิเชล บรานช์” (Michelle Branch) “ราฟาเอล ซาดิ๊ก” (Raphael Saadiq) จากวง  “โทนี่! โทนี่! โทน!” (Tony! Toni! Tone!) และ “เดอะเรคเกอร์ส” (The Wreckers) ในเพลง “ไอแอมฟีลลิ่งยู” (I’m Feeling You) อีกทั้งได้ร่วมงานกับ “แอนโทนี แฮมิลตัน” (Anthony Hamilton) “เคิร์ก แฮมเมท แอนด์ โรเบิร์ท แรนดอล์ฟ” (Kirk Hammett & Robert Randolph) “โบ ไบซ์” (Bo Bice) และ “ลอสโลนลี่บอยส์” (Los Lonely Boys)
 
การเรียกการร่วมมือของพวกเขาว่าไม่เหมือนใครในวงการเพลงอาจจะฟังดูน้อยไป “คาลอสมีสัมผัสภายในที่บอกเขาว่าสิ่งไหนที่เหมาะกับเขา” คลิฟกล่าว “เขาใช้หูฟังดนตรี แล้วก็ใช้ใจฟังว่าเพลงนี้เหมาะกับซานตาน่าหรือเปล่า เขาทำให้มันเป็นเพลงของเขาได้หรือเปล่า เขารู้สึกว่ามันมีความสดใหม่ให้เขาไหม ผมอยากให้คาลอสได้ทำในสิ่งที่เขาเห็นและรู้สึก นั่นคือสิ่งสำคัญสำหรับผม ปล่อยให้มันไหลลื่นไปเอง”

ก่อนที่ เพลงแนว“เวิร์ด มิวสิค” (World Music) จะกลายเป็นสิ่งที่หาได้ตามเสิร์ชเอนจิน (Search Engine) ทั่วโลก หรือก่อนที่มันจะกลายมาเป็นแนวเพลงด้วยซ้ำ คาลอส ซานตาน่าและวงที่ใช้ชื่อของเขาพยายามสร้างสรรค์เพลงอเมริกันท้องถิ่นและ กระจายมันไปยังสี่มุมโลก

ขณะเดียวกันมันก้สะท้อนกลับมายังชายฝั่งอเมริกาอีกครั้ง ถูกกรองด้วยดนตรี แอฟโฟร -ป๊อบ (Afro-pop) และ แอฟโฟร -บีท (Afro-beat) แคริบเบียน วูดู ร็อค (Caribbean voodoo-rock) และอีกหลากหลายแนวเพลงจากทั่วทุกมุมโลก ที่ทุกวันนี้ได้ยกย่องว่าซานตาน่าคือแนวเพลงท้องถิ่นของพวกเขา

คาลอส ฮัมเบอร์โต ซาตาน่า ดี บาร์รากัน (Carlos Humberto Santana de Barragan) มาจากครอบครัวที่ยากจน เขาเกิดในปี พ .. 2490 ในย่าน อัทลาน ดี นาวาร์โร (Autlan de Navarro, Jalisco) เมืองจาลิสโก (Jalisco) ในประเทศเม็กซิโก (ที่ๆซึ่งปัจจุบันถนนหนทางและจตุรัสกลางเมืองตั้งชื่อตามชื่อของเขา) พ่อของเขาผู้ซึ่งเป็นนักไวโอลินอาชีพได้ปลูกฝังความรักดนตรีให้กับลูกชาย โดยที่ตอนอายุแค่เพียง 5 ขวบคาลอสก็เริ่มเล่นไวโอลินแล้ว หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายไปขึ้นเหนือไปเมือ งที่แสนคึกคักอย่าง ทิฮวนนา (Tijuana) ที่นั่นเองคาลอสได้หยิบกีต้าร์ของเขาและซึมซับเอาแรงบันดาลใจต่างๆเป็นครั้ง แรก เขามักจะฟังรายการวิทยุของอเมริกา คลื่นที่สามารถรับฟังได้ที่เม็กซิโก และเขาก็รู้สึกเหมือนต้องมนต์ของ จอห์น ลี ฮุกเกอร์ (John Lee Hooker ) , ทีโบน วอร์คเกอร์ (T. Bone Walker), และ บีบี คิง (B.B. King) สามมือกีต้าร์ฮีโร่ ที่สไตล์ของพวกเขาต่างผสมผสานระหว่างบลูส์และแจ๊ซ

เมื่ออายุ 14 ครอบครัวของเขาย้ายไปอยู่ที่ ซาน ฟรานซิสโก และคาลอสก็จบการศีกษาชั้นมัธยมปลายที่นั่นในปี พ.. 2508 เขาเริ่มเดินทางไปดูโชว์ต่างๆที่จัดขึ้นโดย บิล เกรแฮม (Bill Graham) และโชว์อื่นๆที่จัดขึ้นที่ ฟิลมอร์ (Fillmore) วินเทอร์แลนด์ (Winterland) และ เอวาลอน บอลรูมส์ (Avalon ballrooms) ครั้งหนึ่งเป็นการประชันกันระหว่าง มัดดี้ วอเ</