5 เรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับไมเกรนที่หลายคนไม่เคยรู้

ไลฟ์สไตล์
5 เรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับไมเกรนที่หลายคนไม่เคยรู้

หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อของไมเกรนถึงกับขยาดกับอาการของโรคนี้ เพราะรู้กันดีว่าความทรมานแสนสาหัสเมื่อไมเกรนกำเริบนั้น จะทำให้พวกเขาแทบใช้ชีวิตให้เป็นปกติไม่ได้อีกเลย

 



หลายคนที่ตกเป็นเหยื่อของไมเกรนถึงกับขยาดกับอาการของโรคนี้ เพราะรู้กันดีว่าความทรมานแสนสาหัสเมื่อไมเกรนกำเริบนั้น จะทำให้พวกเขาแทบใช้ชีวิตให้เป็นปกติไม่ได้อีกเลย และต่อไปนี้เป็น 5 เรื่องน่าตกใจเกี่ยวกับไมเกรนที่อยากบอกต่อ
 
1. ไมเกรนยังไม่มีตัวยาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แม้จะมีการค้นพบโรคสุดทรมานตัวนี้มาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ หรือ 2500 ปีมาแล้วก็ตาม มีเพียงตัวยาที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ว่ากันว่าคนที่เป็นไมเกรนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมขนานใหญ่เลยทีเดียว
 
2. หากสังเกตุตัวเองดีๆ จะพบว่าไมเกรนมักกำเริบในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือช่วงวันลาพักร้อนยาวๆ ที่เป็นเช่นนี้มาจากความเครียดที่สะสมต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ หากไม่อยากให้วันหยุดเป็นเรื่องเลวร้าย ควรเริ่มปล่อยวางความเครียดได้แล้ว
 
3. มีคนเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ผู้หญิงที่เป็นไมเกรนจะเสียชีวิตเร็วกว่าวัยอันควร และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ สถาบันสาธารณสุขเบอร์ลิน ประเทศเยอรมันนี ได้ออกมาเปิดเผยว่า ร้อยละ 50 ของโรคไมเกรนเกิดขึ้นในผู้หญิง ซ้ำยังพบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มนี้มีแนวโน้มจบชีวิตได้เร็วกว่าปกติจากภาวะหัวใจวายอีกด้วย
 
4. การใช้ยาไมเกรนที่มีส่วนผสมของ “เออร์กอต” และ “คาเฟอีน” ในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้ตัวยาเข้าไปกดหลอดเลือด แขนขาที่ขาดเลือดจะเน่าและอาจต้องตัดทิ้งไปในที่สุด
 
5. ยาไมเกรนมีผลข้างเคียงที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นชนิด Propanolol และ Nadolol ที่ช่วยลดความถี่ของไมเกรน จะมีผลข้างเคียงต่อสมรรถภาพทางเพศ และเป็นยาต้องห้ามในกลุ่มผู้ป่วยโรคหอบหืด และโรคเบาหวาน เพราะตัวยาจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เป็นไมเกรนจึงควรระมัดระวังการใช้ยาให้ดี 


 
อาการแสนทรมานจากไมเกรน
 
อาการแสนทรมานที่พบกันได้บ่อยคือ อาการปวดศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรง ซึ่งเมื่อกุมขมับแล้วจะได้ยินเสียงตุ๊บๆเหมือนโดนทุบที่ศีรษะ บางคนจะปวดตื้อๆ ตรงขมับทั้ง 2 ข้างเหมือนโดนบีบที่ศีรษะตลอดเวลา แต่อาการจะรุนแรงมากกว่านี้ได้อีกเมื่อร่างกายสัมผัสกับแสงแดด เสียงดัง หรืออุณหภูมิ จะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน สายตาพร่ามัว มือเท้าชา ซึ่งถือว่าอาการน่าเป็นห่วงขนาดที่ควรหยุดพักกิจกรรมและปรึกษาแพทย์ได้แล้ว


ขอขอบคุณข้อมูลจากเครือโรงพยาบาลพญาไท