อาจเป็นเพราะฝน

ไลฟ์สไตล์
อาจเป็นเพราะฝน

เมื่อเวลาฝนตกโปรยปราย มนุษย์จะมีพฤติกรรมและความรู้สึกคล้อยไปกับสิ่งแวดล้อมนั้นด้วย

เรื่องโดย อาภาวรรณ โสภณธรรมรักษ์ Team content www.thaihealth.or.th
ภาพโดย ชุติกาญจน์  เกียรติพันธุ์สดใส Team Content www.thaihealth.or.th  และแฟ้มภาพ
 
เพียงแค่ฝนตกลงที่หน้าต่างในบางครา......
 
ฝนตกยิ่งนึกถึงทีไร ก็ยิ่งชุ่มฉ่ำ อุ่นในหัวใจ....
 
วันที่ฝนตกไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้าง ไหมหนอเธอ...
 
อยากจะลืมใครสักคน เมื่อหยาดฝนพร่างพรมพลิ้วมา....
 
้เหงา
 
เธอนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งมาเนิ่นนานแล้ว นานจนเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเธอได้ทิ้งตัวลงกับเวลาที่ผ่านพ้นไปนานนับชั่วโมง เพื่อทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้น สายตาของเธอทอดไปยังหยดน้ำและละอองฝนที่กระทบกับกระจก หนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไปตามท่วงทำนองของท้องฟ้าสีเทาๆ
 
เพลงแต่ละเพลงที่กล่าวถึง “ฝน” ที่เธอได้ฟัง  มันมีหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก บ้างก็คิดถึง บ้างก็เหงา บ้างก็เศร้า บ้างก็เศร้าปนเคล้าน้ำตา แน่ล่ะ.... “เพราะเวลาที่ฝนตกย่อมสัมพันธ์กับอารมณ์ความรู้สึก”
 
---
 
กลุ่มนักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) อธิบายถึงความเชื่อเรื่องสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับการกระทำและความรู้สึกของมนุษย์ไว้ว่า มนุษย์จะเติบโตขึ้นมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการจัดกระทำและสภาพแวดล้อม “พฤติกรรมมนุษย์ย่อมมีสาเหตุ” (Caused Behavior) พฤติกรรมและพัฒนาการของมนุษย์สามารถควบคุมและกำหนดได้ตามที่นักปรับพฤติกรรมต้องการได้
 
เบอร์รัชเอฟ. สกินเนอร์(BurrhusF.Skinner) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน มีความเห็นว่ามนุษย์มีพฤติกรรมตามสิ่งแวดล้อม ถ้าสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ก็สามารถกำหนดพฤติกรรมมนุษย์ให้เป็นไปตามที่ต้องการได้
 
นั่นก็แปลว่า เมื่อเวลาฝนตกโปรยปราย มนุษย์จะมีพฤติกรรมและความรู้สึกคล้อยไปกับสิ่งแวดล้อมนั้นด้วย ไม่ว่าจะเศร้า เหงา เปล่าเปลี่ยว มีความสุข คิดถึง หรือความรู้สึกใดๆ ก็ตาม ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการจดจำของมนุษย์ต่อช่วงเวลานั้นๆ
 
้เหงา
 
ก็แค่ปล่อยใจเศร้า แล้วยอมรับความจริง
 
ถ้าฝนตกแล้วใจเรามีความยินดี ความคิดถึง บนพื้นฐานของความสุขก็น่าจะดีสินะ แต่ความเป็นจริงแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายๆ คน ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ “เศร้า” เพียงแค่กระพริบตา หยดน้ำตาก็ไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว และอาจจมอยู่กับอารมณ์เศร้าอยู่นานเลยทีเดียว งานวิจัยเชิงจิตวิทยาของ Philippe Verduyn และ Saskia Lavrijsen จากมหาวิทยาลัย Leuven ในเบลเยียม อธิบายผลวิจัยจากการทดลองเฝ้าติดตามพฤติกรรม และการแสดงออกทางอารมณ์ของนักเรียนในโรงเรียนเบลเยียม ไว้ว่า  ความเศร้า (Sadness) จัดการยากที่สุด ใช้เวลานานที่สุด ในขณะที่ความรู้สึกอื่นๆ เช่น ดีใจ ตื่นเต้น เขินอาย อยู่กับเราเพียงชั่วครู่แล้วก็จากไป
 
ความยืดหยุ่นในการจัดการอารมณ์ หรือ Resilience Quotient จะเป็นอีกหนึ่งทางออกสำหรับผู้ที่ตกอยู่ในอารมณ์เศร้า หดหู่ โกรธ หรือจมอยู่กับปัญหา
 
“การฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤต เป็นศักยภาพทางอารมณ์และจิตใจในการปรับใจและพื้น ตัวภายหลังที่พบกับเหตุการณ์วิกฤตหรือสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความยากลำบาก เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ช่วยให้บุคคลผ่านพ้นปัญหาอุปสรรคและดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข เป็นกระบวนการปรับใจและฟื้นตัวเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากหรือวิกฤตได้สำเร็จ แสดงให้เห็นถึงการเอาชนะปัญหาอุปสรรคของชีวิตโดยใช้พลังสุขภาพจิตที่ดีที่เข้มแข็ง” อัจฉรา สุขารมณ์ อธิบายถึงภาวะทางอารมณ์ จากงานวิจัยเรื่องการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤต
 
เหงา
 
ความเจ็บปวด ความเศร้า เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องพบเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ก็พอๆ กับความสุข ความสนุก ที่เข้ามาทำให้จิตใจเราเบิกบานและยิ้มแย้มไปได้ทั้งวัน ผู้เขียนเชื่ออย่างหนึ่งว่า ธรรมชาติไม่เคยปล่อยให้มนุษย์อย่างเราๆ เริงร่ากับความสุขได้อย่างยาวนาน โดยที่ไม่เรียนรู้และยอมรับความเศร้า เมื่อไหร่ก็ตามที่เราปล่อยใจหรือตักตวงรับเอาแต่ความสุขเพียงอย่างเดียว เมื่อนั้นความทุกข์ซึ่งเป็นความรู้สึกด้านตรงข้าม จะเข้าเร่งงานเราอย่างทันทีโดยไร้ความปราณี
 
ทำให้ตัวเรา “รู้สึกกลางๆ” เมื่อไหร่ที่มีความสุข ให้รู้ว่าความทุกข์มีอยู่จริง และเมื่อไหร่ที่พบเจอกับความทุกข์ ก็ต้องอนุญาตให้ความรู้สึกนั้นอยู่กับเราเพียงไม่นาน เพราะที่สุดแล้ว หลังฝนตก ฟ้าก็จะสดใสเสมอ พิจารณาทุกความรู้สึกที่เข้ามา โดยทำความเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ตามหลักของไตรลักษณ์ที่ว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" เพราะไม่มีสิ่งใดๆ จะอยู่กับเราตลอดไป ทุกสิ่งล้วนถูกกำหนดด้วยระยะเวลา ไม่วาจะเร็วหรือช้า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเบาบาง เจือจาง และหายไป
 
ฟากฝั่งทฤษฎี Gail M. Wagnild & Heather M. Young ได้แบ่งความสามารถในการฟื้นฟูพลังใจในภาวะวิกฤตออกเป็น 5 องค์ประกอบ คือ
 
1. ความสงบทางใจ (Equanimity) การมีความสมดุลในจิตใจ
 
2. ความอุตสาหะ (Perseverance) การที่มีความพยายามที่จะสู้กับปัญหาที่เกิดขึ้น
 
3. ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-reliance) การมีความมั่นใจในความสามารถของ ตนเองในการแก้ไขปัญหา
 
4. การตระหนักถึงคุณค่าและความหมายในชีวิต (Meaningfulness)
 
5. การดำรงชีวิตโดยรู้ถึงการมีเส้นทางชีวิตของแต่ละฝ่าย ของใครของคนนั้น (Existential aloneness)
 
ความสามารถในการฟื้นฟูจิตใจนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการคิดเชิงบวก มองชีวิตในแง่บวกและรักตัวเองมากพอ เพราะเมื่อเรามีทัศนคติที่ดีต่อตัวเองแล้ว เราก็จะไม่จมจ่ออยู่กับความทุกข์ใจ ความโศกเศร้านาน
 
กิจกรรมเสริมสร้างพลังบวก
 
หากคุณกำลังมองหากิจกรรมที่ทำให้หัวใจฟื้นฟู หรือไม่อยากจมกับความเศร้าเนิ่นนาน แนะนำกิจกรรมของศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สสส. ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันที่อาคารศูนย์เรียนรู้ ซ.งามดูพลี ถ.พระราม 4  โดยกิจกรรมต่างๆ มีทั้ง evening exercise / ครอบครัวบำบัด / sook market / brain gym / และการบรรยายเรื่องสุขภาพอีกมากมาย โดย สสส. สนับสนุนให้ประชาชนมีสุขภาวะที่ดีทั้ง กาย ใจ สังคม ปัญญา สามาสรถสมัครเข้าร่วมกิจกรรม (ฟรี) และดูรายละเอียดได้ที่ /sook/


ขอบคุณข้อมูลจาก สสส