ถ้าหากเอ่ยชื่อ “ร้านกาแฟนรสิงห์” หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อนี้กันมาบ้างแล้ว แต่อาจไม่แน่ใจว่าร้านกาแฟร้านนี้ตั้งอยู่ที่ใดหรืออาจจะยังไม่เคยได้มี โอกาสแวะเวียนไปซักครั้ง ดังนั้นเราจะพาไปจิบกาแฟ ทานขนมอร่อยๆ และทำความรู้จักกับร้านกาแฟสุดคลาสสิคร้านนี้กัน

ในอดีต ร้านกาแฟนรสิงห์ ตั้งอยู่ที่มุมสโมสรเสือป่า ลานพระบรมรูปทรงม้า เป็นร้านที่บรรดาพ่อค้า ชาวต่างชาติ และผู้มีบรรดาศักดิ์ในสมัยนั้นนิยมใช้เป็นแหล่งพบปะสังสรรค์ เพราะความอร่อยระดับครัวชาววังของอาหารคาวหวานที่ถูกส่งตรงมาจากครัวบ้าน นรสิงห์ของ พลเรือเอกเจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) ผู้ที่มีความใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในรัชกาลที่ 6 มากที่สุดนั่นเอง ที่ทำให้ร้านกาแฟนรสิงห์ได้รับความนิยมมากในสมัยนั้น และนับเป็นร้านกาแฟแห่งแรกของเมืองไทยที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6  กันเลยทีเดียว แต่แล้วร้านกาแฟนรสิงห์ก็เลิกกิจการไปในสมัยรัชกาลที่ 7 ซึ่งปัจจุบันบ้านนรสิงห์ก็คือ ทำเนียบรัฐบาลนั่นเอง

เมื่อแรกก้าวเข้ามาในร้านกาแฟนรสิงห์ เราจะสัมผัสได้ถึงความหรูหรา คลาสสิคในแบบพระราชวังเก่า เฟอร์นิเจอร์และตกแต่งภายทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลาไปในสมัยรัชกาลที่ 6  อย่างไรอย่างนั้น สิ่งที่พิเศษที่สำคัญของร้านกาแฟนรสิงห์คือ เก้าอี้ไม้ที่มีพระนามาภิไทยย่อ “รร.” ซึ่งมาจากคำว่า “รามราชาธิบดี” ซึ่งหมายถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเราไม่สามารถหานั่งที่ไหนได้

มาถึงร้านกาแฟทั้งที จะไม่กล่าวถึงเครื่องดื่ม และของว่างขึ้นชื่อของร้านเลยก็คงจะไม่ถูก ร้านนรสิงห์มีกาแฟไว้ให้บริการไม่ต่างจากร้านกาแฟทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น เอสเปรโซ่ ลาเต้ คาปูชิโน่ มอคค่า ทั้งร้อน-เย็น และกาแฟปั่น หรือเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น โกโก้ ชาฝรั่ง ชาไทย ชามะนาว ชาดำเย็น และน้ำผลไม้ สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟ หลายคนอาจจะนึกว่าการบรรยากาศการตกแต่งร้านที่หรูหราแบบนี้ ราคากาแฟต้องแพงแน่ๆ คงต้องรีบแก้ความคิดกันซักนิด เพราะไม่ได้แพงอย่างที่คิด ราคาเครื่องดื่มในร้านก็อยู่ที่ราคาแก้วละ 35-50 บาทเท่านั้น ถูกกว่ากาแฟร้านดังจากต่างประเทศตั้งหลายเท่า ส่วนขนมขนมเค้กที่มีบริการอยู่ในร้านก็มีให้เลือกอยู่ไม่น้อย คราวนี้เราเลือกสั่ง “เค้กเมอร์แรงอัลมอน” ที่ไม่มีส่วนผสมของแป้ง เพราะส่วนผสมหลักคือไข่ขาวและอัลมอน เมื่อได้ลองชิมแล้วบอกได้เลยว่าหอมกลิ่นอัลมอนและอร่อยมากๆ จนไม่อยากจะวางช้อนเลยทีเดียว

นอกจากกาแฟ และขนมเค้กแล้ว ร้านกาแฟนรสิงห์ยังมีอาหารโบราณรสชาติต้นตำรับมาบริการลูกค้าอีกหลายอย่าง ซึ่งเมนูที่พลาดไม่ได้และอยากจะแนะนำให้สั่งมาชิมก็คือ “หมูเค็มขนมปังปิ้ง” ซึ่งหมูเค็มจานนี้ไม่ใช่หมูเค็มแบบชาวบ้านที่กินกับข้าวเหนียวทั่วๆ ไป เพราะหมูเค็มของที่นี่จะผ่านการเคี่ยวกับเครื่องเทศและเกลือข้ามวันข้ามคืน จนเปื่อยนุ่ม จึงทำให้มีรสเค็มๆ หอมกลิ่นเครื่องเทศและน้ำปลาอย่างดี เวลารับประทานคู่ขนมปังปิ้ง และเคียงด้วยปลาดุกฟูผัดพริกขิงที่เสิร์ฟมาด้วยกัน อร่อยอย่าบอกใคร หรือถ้าใครอยากได้อาหารจานหลักที่อยู่ท้องซักหน่อย ก็มีเมนูอาหารอื่นๆ ให้เลือกอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวหน้าไก่ สปาเกตตี้ซอสแดง สปาเกตตี้คาโบนาร่า แซนวิช และสลัดหน้าต่างๆ ฯลฯ ซึ่งราคาอาหารก็เริ่มตั้งแต่ 45 – 150 บาท ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงเลยกับการได้มานั่งจิบกาแฟ รับประทานอาหารว่าง ฟังเพลงคลาสสิกเบาๆ พร้อมกับชมความงดงามของสถาปัตยกรรม และศิลปะบนฝาผนังและเพดานที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 แค่นี้ก็คุ้มแล้ว

หลังจากอิ่มท้องกันดีแล้ว ถ้าหากว่ายังมีเวลาว่างและไม่รีบร้อนจะไปที่ไหน ก็อยากจะขอแนะนำให้ไปเดินชมพระราชวังพญาไทกันต่อ แล้วเราจะได้เห็นความงดงามของพระราชวัง ห้องพระบรรทม ท้องพระโรง ฯลฯ ใครจะเชื่อว่าใกล้ๆ ใจกลางเมืองแค่นี้ ก็มีสถานที่เที่ยวอันสวยงามที่คุณจะต้องประทับใจไม่รู้ลืม อ้อ...การเข้าชมพระราชวังพญาไท ต้องอย่าลืมว่าควรจะแต่งกายให้สุภาพ เรียบร้อย งดสวมกางเกงขาสั้น หรือเสื้อสายเดี่ยวด้วยนะ เพราะที่แห่งนี้คือพระราชวัง ดังนั้นจึงควรให้เกียรติสถานที่ด้วยตามสมควรครับ...