ม่อนปุยหมอก หยอกลม ห่มหนาว ชมทะเลหมอกยามเช้า ณ ลุ่มน้ำเมย

กินเที่ยว
ม่อนปุยหมอก หยอกลม ห่มหนาว ชมทะเลหมอกยามเช้า ณ ลุ่มน้ำเมย

“ม่อนปุยหมอก” เป็นจุดชมทะเลหมอกเพียงจุดเดียวใน “อุทยานแห่งชาติแม่เมย” ที่เราสามารถชมได้ทั้งยามพระอาทิตย์ขึ้นและตก อีกทั้งความอลังการของทะเลหมอกของที่นี่นั้น ช่างงดงามจนเราบรรยายกันไม่ถูกเลยทีเดียว

 

เก็บกระเป๋าเตรียมเสื้อกันหนาวกันให้พร้อมได้เลยครับ เพราะวันนี้เราจะพาคุณไปชมทะเลหมอก หยอกลมหนาว นอนดูดาวกันที่ “ม่อนปุยหมอก” หากใครยังไม่รู้จักตามเรามาได้เลยครับ รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวังกับที่นี่อย่างแน่นอน

“ม่อนปุยหมอก” เป็นหนึ่งในสี่ของจุดชมทะเลหมอกใน “อุทยานแห่งชาติแม่เมย” ที่เราสามารถชมทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ในที่เดียวกัน แต่ทว่าเราจะต้องเดินเท้าขึ้นไปเป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร และจะต้องนอนเต็นท์ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่หนึ่งคืนในสภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งอำนวย ความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น เราจึงต้องมาให้ถึงอุทยานแห่งชาติแม่เมยก่อนเวลาที่นัดไว้กับทางอุทยานอยู่ พักใหญ่ เพื่อที่จะได้มีเวลาค่อยๆ ตระเตรียมข้าวของอย่างรอบคอบ ซึ่งเราได้แบ่งสัมภาระส่วนใหญ่ของเราไปให้ลูกหาบนำขึ้นเขาล่วงหน้าไปก่อน จะเหลือติดตัวไว้ก็เพียงกล้องถ่ายรูป, ของส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ และน้ำดื่มหนึ่งขวดเท่านั้น เมื่อจัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราจึงเริ่มออกเดินทางเข้าสู่เส้นทางพิชิตม่อนปุยหมอกทันที

 
 

แม้ว่าระยะทาง 4 กิโลเมตรนี้อาจดูไม่ไกลมากนัก แต่ทว่าเส้นทางการขึ้นม่อนปุยหมอกนั้นมีความชันประมาณ 45 องศาแทบจะตลอดทั้งเส้นทาง กว่าจะมาถึงจุดพักแรกเราก็เริ่มเหนื่อยเอาการแล้ว แต่ก็ยังดีที่จุดพักนี้มีลำธารเล็กๆ ให้เราพอล้างหน้าล้างตาได้ ซึ่งม่อนปุยหมอกนั้นแต่ก่อนเคยเป็นเหมืองแร่ น้ำในลำธารของที่นี่จึงเป็นน้ำอันใสสะอาด สามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย แถมยังเย็นชื่นใจอีกด้วย พอนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็เริ่มออกเดินกันต่อโดยลืมไม้เท้าที่เจ้าหน้าที่เคยหามาให้ไว้เสียสนิท ซึ่งเส้นทางช่วงแรกๆ นั้นเราเดินโดยปราศจากไม้เท้ากันแทบจะไม่ไหว แต่พอเราหายเหนื่อยแล้วดันลืมเครื่องทุ่นแรงสำคัญไว้ซะนี่ เฮ่อ.... พูดแล้วก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก

เดินออกจากจุดพักแรกมาสักพัก เราก็ได้ยินเสียงน้ำกระทบหินผาดังมาแต่ไกล ใจก็นึกว่าน้ำตกอยู่ใกล้ๆ เราจึงเร่งฝีเท้ากันยกใหญ่เพื่อที่จะไปให้ถึงต้นเสียงโดยเร็ว แต่ก็ต้องแอบผิดหวังเล็กๆ เพราะเสียงน้ำที่เราได้ยินนี้มาจากน้ำตกที่อยู่ขนานกับทางเดินของเรา และมีเหวสูงใหญ่กั้นอยู่ เจ้าหน้าที่ก็บอกกับเราว่าน้ำตกนี้ชื่อว่า "น้ำตกผาเทวะ" เดิมทีจะมีเส้นทางให้นักท่องเที่ยวเดินไปชมได้แต่ในปัจจุบันหินได้ถล่มปิด กั้นเส้นทางไปหมดแล้วเราจึงทำได้แค่เพียงชื่นชมความงามจากระยะไกลเท่านั้น ว่าแล้วก็แอบเสียดายนิดหน่อย แต่หลังจากที่เดินมาได้อีกสักพัก ความเสียใจก็ถูกชดเชยด้วยจุดไฮไลท์ของม่อนปุยหมอก ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ที่อุดมไปด้วยหญ้าเส้นผม สีทองอร่ามเต็มพื้น ดิน ยิ่งช่วงเวลาที่เราไปถึงนั้น เป็นช่วงที่แสงแดดยามเย็นส่องลงมากระทบยังหญ้าสีสวยเหล่านั้นพอดี พาให้ความงามนั้นทวีคูณขึ้นไปอีก หากใครมาถึงจุดนี้แล้วไม่แวะดื่มด่ำกับบรรยากาศหรือไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เลยก็ คงดูใจแข็งยิ่งนัก และแน่นอนว่าคนใจอ่อนอย่างเราก็ต้องหยุดเก็บภาพกันตามระเบียบ

 
 

หลังจากทั้งเดิน ทั้งคลาน ทั้งกลิ้งจนแทบหมดแรงแล้ว ในที่สุดเราก็มาถึงยอดม่อนปุยหมอกซะที! ก่อนอื่นก็ต้องขอจัดแจงกางเต็นท์ให้เรียบร้อยเสียก่อน ซึ่งเราเลือกตั้งแคมป์ที่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ เพราะว่าที่นี่ตอนดึกๆ ลมแรงมาก หากกางเต็นท์บริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่เยอะๆ ก็จะช่วยกันลมได้บ้าง แต่ถ้าใครอยากท้าทายความหนาวแล้วล่ะก็ สามารถไปกางเต็นท์ที่จุดชมวิวได้เลย ในขณะที่เรากำลังตระเตรียมที่พักของเราอยู่นั้น ลูกหาบก็จัดแจงไปหากระบอกไม้ไผ่มาต้มน้ำให้เราได้ซดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเติม พลังกันก่อนที่จะเดินไปชมความงามยามอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่บริเวณจุดชมวิว ซึ่งแสงสุดท้ายของม่อนปุยหมอกนี้เป็นอะไรที่วิจิตรตระการตา พาให้เราประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 
 

จากที่คิดว่ายามค่ำคืนของที่นี่จะต้องมืดสนิทแต่กลับผิดคาด เพราะดวงดาวส่องสว่างมากพอที่จะทำให้เราเดินไปไหนมาไหนได้โดยไม่ต้องพึ่ง ไฟฉายเลยด้วยซ้ำ ใจหนึ่งก็อยากจะนั่งดูดาวอยู่ข้างนอกเต็นท์อีกสักพักหรอกนะ แต่อากาศหนาวๆ แบบนี้เราขอนอนฟังเพลงซุกตัวอยู่ในถุงนอนอุ่นๆ ดีกว่า และแล้วเสียงอันทรงเสน่ห์ของ “Karen” แห่งวง “The Carpenters” ก็ขับกล่อมให้เราเข้าสู่ห้วงนิทราไปโดยไม่รู้ตัว มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกเร่งเร้าให้เราตื่นนอนเพื่อที่จะชม ทะเลหมอกยามเช้าที่เรารอคอย

 
 

ทะเลหมอกของที่นี่นับว่างดงามคุ้มค่ากับการออกแรงเดินเมื่อวานจริงๆ ครับ ปุยหมอกขาวโพลนดูนุ่มนวลชวนสัมผัสท่ามกลางทิวเขาที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นสลับ ซับซ้อน อีกทั้งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ค่อยๆ ส่องสว่างขึ้นทีละนิด ทำให้ภาพเบื้องหน้าชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นความรู้สึกที่สวยงามเกินบรรยายจริงๆ และในขณะที่เรากำลังดื่มด่ำกับภาพอันตระการตาอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ก็เปรยขึ้นมาเบาๆ ว่า “เสียดายจังวันนี้หมอกยังไม่เยอะ” โอ้โห! ฟังแล้วก็แอบทึ่งกันยกใหญ่เพราะถ้าหมอกที่เราเห็นอยู่ตรงหน้านี้คือยังไม่ เยอะ แล้วถ้าวันที่หมอกเยอะๆ ล่ะจะเป็นยังไง? จะงดงามขนาดไหน? บอกตรงๆ ว่าเราจินตนาการตามไม่ถูกเลยทีเดียว หลังจากเราที่เราชื่นชมทะเลหมอกกันจนสายแล้ว ก็ได้เวลาที่ต้องเก็บข้าวของกลับ ซึ่งขาลงนั้นเราใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเศษๆ เท่านั้นเดินกันสบายๆ ไม่เหนื่อยเหมือนตอนเดินขึ้นแต่ทว่าต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าเดิมสักนิด ด้วยว่าเป็นทางลาดลง การทรงตัวจึงเป็นไปได้ยากขึ้นนิดหน่อยทำให้เราลื่นก้นไถลพื้นไปหลายทีเลย เห็นไหมล่ะ... กว่าที่เราจะเก็บเรื่องราวและภาพสวยๆ มาให้คุณชมได้เนี่ยเราก็เหนื่อยมาเยอะเหมือนกันนะคร๊าบ

 
                 
Note
-
ควรแจ้งความประสงค์ในการขึ้นม่อนปุยหมอกกับทางอุทยานล่วงหน้าแต่ เนิ่นๆ เพราะพื้นที่บริเวณจุดกางเต็นท์ของม่อนปุยหมอกนั้นมีค่อนข้างจำกัดสามารถกาง เต็นท์ได้เพียง 15 - 20 หลังเท่านั้น
-
หากเรามาติดต่อที่ทำการอุทยานหลังเที่ยงนั้น ทางอุทยานจะไม่อนุญาตให้เราขึ้นม่อนปุยหมอกได้ แต่เราควรมาติดต่อที่ที่ทำการอุทยานตั้งแต่ประมาณ 11 โมง เพื่อที่จะได้เตรียมสัมภาระและเสบียงอย่างรอบคอบ
-
ข้างบนม่อนปุยหมอกนั้นไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้นแม้กระทั่งห้องน้ำ เราจึงต้องเตรียมน้ำ, เครื่องนอนและอุปกรณ์ทำอาหารต่างๆ ขึ้นไปเอง
-
ค่าจ้างลูกหาบกิโลกรัมละ 15 บาท โดยจะชั่งน้ำหนักทั้งขาขึ้นและขาลง
-
ค่าจ้างเจ้าหน้าที่นำทาง 700 บาท โดยจะอยู่กับเราตลอดสองวันหนึ่งคืน
   
ที่อยู่
:
ตำบล แม่สอง,ตำบล แม่อุสุ อำเภอ ท่าสองยาง จังหวัด ตาก 63150
GPS
:
17.481767, 98.074383
เบอร์ติดต่อ
:
08 0118 4383
E-mail
 
Website
:
Facebook
:
เวลาทำการ
:
เวลา 8.00 – 18.00 น. ของทุกวัน
ค่าธรรมเนียม
:
- ชาวไทย เด็ก 10 บาท / ผู้ใหญ่ 20 บาท
- ชาวต่างชาติ เด็ก 50 บาท / ผู้ใหญ่ 100 บาท
- ค่ากางเต็นท์ 30 บาท ต่อหนึ่งคน
ช่วงเวลาแนะนำ
:
ช่วงเดือนพฤศจิกายน – มกราคม
ไฮไลท์
:
ทะเลหมอกอันตระการตาบริเวณยอดเขา
กิจกรรม
:
เดินศึกษาธรรมชาติ และชมทะเลหมอกอันงดงาม

วิธีการเดินทาง

จาก ตัวเมืองตาก ให้ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 มุ่งหน้าไปทาง อำเภอแม่สอด เป็นระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ก็จะถึงอำเภอแม่สอด จากนั้นให้ขับตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 105 ต่อไปอีกประมาณ 120 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปยังทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1267 (แม่สลิด – อมก๋อย) ตรงต่อไปอีกประมาณ 11 กิโลเมตร ก็จะพบกับที่ทำการ “อุทยานแห่งชาติแม่เมย” ซึ่งเราจะต้องเดินเท้าต่อขึ้นไปบนม่อนปุยหมอก เป็นระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร

ขอบคุณข้อมูลเเละภาพประกอบจาก