5 วัดดัง ผู้คนประชาชนศรัทธา

กินเที่ยว
5 วัดดัง ผู้คนประชาชนศรัทธา

ช่วงหยุดยาว หลายคนอาจจัดสรรที่เที่ยวกันสนุกเลยล่ะ บางครอบครัวอาจหามุมสงบๆ พากันไปทัวร์ไหว้พระ เสริมสิริมงคลกันหน่อย เราจึงขอนำเสนอ 5 วัดดัง ให้พุทธศาสนิกได้ไปกราบไหว้ ขอพร

1.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
ที่อยู่ : ถนนหน้าพระลาน (ในพระบรมมหาราชวัง) เขตพระนคร กรุงเทพฯ



วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เป็นพระอารามหลวง เป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาที่สำคัญ ภายในพระอุโบสถ และระเบียงรอบวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสวยงามมาก
 




สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด ได้แก่ หอพระเทพบิดร (เปลี่ยนชื่อเป็นปราสาทพระเทพบิดร ในรัชกาลที่ 6) พระปรางค์ 8 องค์ พระศรีรัตนเจดีย์ ปราสาทนคร วัดจำลอง ฯลฯ จนเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ


ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำด้วยมณีสีเขียวเนื้อเดียวกันทั้งองค์ หน้าตักกว้าง ๔๘.๓ ซม. สูงตั้งแต่ฐานถึงยอดพระเศียร ๖๖ ซม. ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน


พระบรมมหาราชวังเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.30-15.30 น.

อัตราค่าบริการ
ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม
สำหรับชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชม 350 บาท ซึ่งรวมบัตรเข้าชมศาลาเครื่องราชอิสริยยศ และเหรียญกษาปณ์ ค่าเข้าชมพระที่นั่งวิมานเมฆ

เดินทางโดยรถประจำทาง
รถโดยสารประจำทาง (รถเมล์) สาย 1,3,6,9,15,19,25,30,32,33,39,43,44,47,53,59,60,70,80,82,91,123,201,203,,38,501,506,507,508,512,523,533,538

2.วัดโสธรวรารามวรวิหาร (หลวงพ่อโสธร)
ที่อยู่ : ริมแม่น้ำบางปะกง อ.เมืองฉะเชิงเทรา จ.ฉะเชิงเทรา



วัดโสธรวรารามวรวิหาร เดิมชื่อว่า "วัดหงส์" สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นที่ประดิษฐาน "หลวงพ่อโสธร" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร ฝีมือช่างล้านช้าง ตามประวัติเล่าว่าได้ปาฏิหาริย์ลอยน้ำมา และมีผู้อัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ ทุกวันจะมีผู้คนมานมัสการปิดทองหลวงพ่อโสธรเป็นจำนวนมาก


องค์หลวงพ่อโสธรจริงในสมัยที่ได้มาเดิมนั้นเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยทอง สัมฤทธิ์ปางสมาธิเพ็ชรหน้าตักกว้าง ศอกเศษ ทรงสวยงาม ต่อมาพระสงฆ์ในวัดเห็นว่ากาลต่อไปภายภาคหน้า ฝูงชนที่มี ตัณหา และโลภะแรงกล้า มีอัธยาศัยเป็นบาปลามก หมดศรัทธาหาความเลื่อมใสมิได้ จักนำเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียไม่เป็นการ ปลอดภัย จึงพอกปูนเสริมให้ใหญ่หุ้มองค์จริงไว้ภายในดังปรากฎ ในปัจจุบันนี้


สำหรับผู้ที่จะเข้าไปนมัสการองค์หลวงพ่อโสธรภายในโบถส์ต้องแต่งกายให้เรียบร้อย ห้ามใส่กางเกงขาสั้น สำหรับสตรีห้ามใส่เสื้อไม่มีแขน โดยจะมีเจ้าหน้าคอยตรวจอยู่ด้านทางเข้า หากใครผิดระเบียบทางวัดจะมีเสื้อคลุมเตรียมไว้ให้

เวลาเปิดให้เข้านมัสการ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 07.00 น.-16.00 น วันเสาร์-อาทิตย์ 07.00 น.-17.00 น.

โดยผู้ที่สนใจล่องเรือแม่น้ำบางปะกงไปตลาดบ้านใหม่ มี 5 รอบ ซื้อตั๋วศาลาริมน้ำด้านติดโรงเจของวัดโสธรวราราม ค่าโดยสาร คนละ 100 บาท  เที่ยวเรือมีดังนี้
(เสาร์-อาทิตย์)
10.00 - 12.00
11.00 - 13.00
12.00 - 14.00
13.00 - 15.00
14.00 - 16.00
15.00 - 17.00
(จันทร์-ศุกร์) มี 2 รอบ
12.00 - 14.00
14.00 - 16.00

การเดินทางโดยรถ
มี 2 เส้นทางคือ สายกรุงเทพฯ-มีนบุรี-ฉะเชิงเทรา ทางหลวงหมายเลข 304 และอีกเส้นทางคือจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางสายบางนา-ตราด ก่อนข้ามสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง มีทางแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 314 ไปฉะเชิงเทรา

3.วัดพนัญเชิงวรวิหาร อยุธยา (วัดหลวงพ่อโต)
ที่อยู่ : ริมแม่น้ำป่าสักทางด้านทิศใต้ ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.อยุธยา





วัดพนัญเชิงเป็นพระอารามหลวงชั้นโทชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย เป็นวัดที่มีมาก่อนการสร้างกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งซึ่งครองเมืองอโยธยาเป็นผู้สร้างขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงศพพระนางสร้อยดอกหมาก และพระราชทานนามวัดว่า “วัดพระเจ้าพระนางเชิง” (หรือวัดพระนางเชิง)


พระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ตามพงศาวดารกล่าวว่าสร้างเมื่อพ.ศ.1867 ก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา 26 ปีเดิมชื่อ “พระพุทธเจ้าพนัญเชิง”(พระเจ้าพะแนงเชิง) แต่ในรัชกาลที่ 4 เมื่อมีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปองค์นี้ได้พระราชทานนามใหม่ว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก” (ชาวบ้านนิยมเรียกหลวงพ่อโต ชาวจีนนิยมเรียกว่าซำปอกง ผู้คุ้มครองการเดินทางทางทะเล)เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบอู่ทองปางมารวิชัยลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง 14 เมตรและสูง 19.13 เมตร ฝีมือปั้นงดงามมาก เบื้องหน้ามีตาลปัตรหรือพัดยศและพระอัครสาวกที่ทำด้วยปูนปั้นลงรักปิดทองประดิษฐานอยู่เบื้องซ้ายและขวา อาจนับได้ว่าเป็นพระพุทธรูปนั่งสมัยอยุธยาตอนต้นที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดอยุธยาและจังหวัดใกล้เคียง


ส่วนในพระวิหาร เสาพระวิหารเขียนสีเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งสีแดงที่หัวเสามีปูนปั้นเป็นบัวกลุ่มที่มีกลีบซ้อนกันหลายชั้น ผนังทั้งสี่ด้านเจาะเป็นซุ้มเล็กประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดเล็กโดยรอบจำนวน 84,000 องค์เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา ส่วนประตูทางเข้าด้านหน้าซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก เป็นบานประตูไม้แกะสลักลอยตัวเป็นลายก้านขดยกดอกนูนออกมา เป็นลักษณะของศิลปะอยุธยาที่งดงามมากแห่งหนึ่ง


จุดเด่นของวัดพนัญเชิงวรวิหารที่ประชาชนผู้ศรัทธามากราบไหว้นิยมทำคือ การห่มผ้าหลวงพ่อโต โดยจะมีผ้าจีวรให้เช่าราคาผืนละประมาณ 120 บาท เมื่อได้ผ้าจีวรมาทุกคนจะมานั่งรอบริเวณหน้าองค์หลวงพ่อ และจะมีเจ้าหน้าที่คอยนำท่องคำถวายผ้าและโยนผ้าให้กับเจ้าหน้าที่ที่รอรับผ้าอยู่ด้านบน เจ้าหน้าที่ด้านบนจะนำปลายผ้าทั้งหมดผูกกับจีวรที่ห่มองค์หลวงพ่อโตไว้และโยนปลายผ้าอีกด้านลงมาให้ผู้ที่ถวายผ้าได้คลุมหัว เพื่อความเป็นสิริมงคล


การห่มผ้าหลวงพ่อจะมีเป็นรอบๆ หากคนแน่นจนไม่สามารถเข้าไปแล้วให้รอรอบต่อไป ซึ่งหากเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด วันพระใหญ่ คนจะแน่นเป็นพิเศษ

การเดินทาง
ทางรถยนต์ หากเดินทางมาจากรุงเทพโดยใช้ถนนสายเอเชีย(ทางหลวงหมายเลข 32) เลี้ยวซ้ายตรงสี่แยกเข้าอยุธยา ตรงเข้ามาจะพบวงเวียนเจดีย์วัดสามปลื้ม ให้เลี้ยวซ้ายไปอีก 1.5 กม.วัดใหญ่ชัยมงคล จะอยู่ทางซ้ายมือ และตรงไปอีกราว 3 กม. จะเห็นวัดพนัญเชิงอยู่ทางขวามือ

ทางเรือ ท่านอาจเช่าเหมาเรือหางยาวจากบริเวณหลังลานจอดรถฝั่งตรงข้ามพระราชวังจันทรเกษมด้านตะวันออกของเกาะเมือง ล่องไปตามลำน้ำป่าสัก ลงไปทางใต้ผ่านวิทยาลัยการต่อเรือพระนครศรีอยุธยา วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดพุทไธศวรรย์ โบสถ์โปรตุเกส วัดไชยวัฒนาราม วัดกษัตราธิราชวรวิหาร และเจดีย์พระศรีสุริโยทัย

4.วัดบ้านไร่
ที่อยู่ : อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา



วัดบ้านไร่ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน อ.ด่านขุนทดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเป็นสถานที่จำพรรษาของหลวงพ่อคูณ ปริสทฺโธ เกจิอาจารย์ชื่อดัง ในแต่ละวันมีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมานมัสการหลวงพ่อคูณกันเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อคูณเป็นพระชาวบ้านที่เข้าถึงมวลชนทุกระดับชั้น ด้วยท่านมีเมตตามหานิยม และมีวิธีการสั่งสอนที่ตรงไปตรงมา ง่ายแก่การเข้าใจ ในแต่ละวันมีผู้ศรัทธาพากันมากราบนมัสการกันอย่างเนื่องแน่น


ขอบคุณภาพประกอบจาก :
www.facebook.com/TAT.Koratpage

และในขณะนี้หลวงพ่อคูณ ปริสทฺโธ ได้สร้างวิหารเทพวิทยาคม หรือ วิหารปริสุทธปัญญา อุทยานธรรมกลางบึงน้ำ วิหารเป็นเซรามิกโมเสกกลางน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียของวัดบ้านไร่ ก่อสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะให้เป็นมหาวิหารแห่งพระไตรปิฎก หรืออีกนัยหนึ่งคือดินแดนที่รวบรวมพุทธประวัติ พระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด

การเดินทาง
จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) มุ่งหน้าสู่จังหวัดสระบุรี ประมาณ 75 กิโลเมตร ถึงตัวเมืองสระบุรี เมื่อถึงตัวเมืองสระบุรีแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (มิตรภาพ) จากนั้นมุ่งหน้าสู่จังหวัดนครราชสีมา ประมาณ 89 กิโลเมตร จะถึงเขื่อนลำตะคอง ขับตรงไปอีกประมาณ 14 กิโลเมตร จะพบกับป้ายบอกทางถนนสาย 201 กับ ถนนสาย 24 ให้เลี้ยวซ้ายไปทางถนนสาย 201 (ไปจังหวัดชัยภูมิ) จากนั้นขับตรงไปมุ่งหน้าสู่อำเภอด่านขุนทด พอถึงอำเภอด่านขุนทดให้ท่านขับตรงไปอีก จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 2217 จากนั้นขับตรงไป ประมาณ 11 กิโลเมตร ก็จะถึง วัดบ้านไร่

5.วัดท่าไม้
ที่อยู่ : ถนนเศรษฐกิจ 1 ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร


วัดท่าไม้ ตั้งอยู่เลขที่ 51 หมู่ที่ 11 ถนนเศรษฐกิจ 1 ซอย 8 ต.ท่าไม้ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร ในวัดมีพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2532 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา (เขตที่พระราชทานแก่สงฆ์ เพื่อใช้เป็นที่สร้างพระอุโบสถ หรือเขตที่พระสงฆ์ใช้ประกอบสังฆกรรม) เมื่อปี พ.ศ. 2537 วัดท่าไม้ กันบ้าง เดิมทีวัดแห่งนี้เป็นสำนักสงฆ์ที่มีชื่อว่า โพธิ์ธรรมรังษี สร้างเมื่อปลายปี พ.ศ. 2520 โดยพระภิกษุยอด อุปติสฺโส จากวัดหนองพันท้าว จังหวัดกาญจนบุรี จาริกมาตั้งสถานปฏิบัติธรรม มีประชาชนศรัทธาและเคารพเลื่อมใส สนับสนุนให้สร้างเป็นวัดเรื่อยมา

ต่อมา พระภิกษุยอด ได้ติดต่อขอซื้อที่ดินจำนวน 4 ไร่ และรับบริจาคอีก 2 ไร่ สร้างศาลาอเนกประสงค์ กุฏิเจ้าอาวาส ศาลาท่าน้ำ บ่อน้ำบาดาล และอื่น ๆ กระทั่งถึงกลางปี พ.ศ.2532 พระภิกษุยอด จึงออกจาริกหายไป จากนั้น ท่านพระครูธรรมรัตน์ เจ้าคณะตำบลท่าไม้ ได้เห็นความชำรุดทรุดโทรม จึงได้ส่งพระประสิทธิ์ กิตฺติภทฺโท จากวัดนางสาว ไปเป็นผู้ดูแลในปี พ.ศ. 2527 จนได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นวัดท่าไม้ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532



สำหรับจุดสนใจของ "วัดท่าไม้" ที่ประชาชนนิยมเดินทางเข้ามาเคารพสักการะนั้น ได้แก่ ราหู กวนอิม พระพิฆเนศ พระอินทร์ พระพรม เจ้าแม่ตะเคียน นอกจากนี้ ยังมีพิธีกรรมตามความเชื่อ อาทิ ดูดวง แก้กรรม ต่อบุญ เสริมดวงชะตา และแก้ปีชง อีกด้วย


ผู้ที่มีความประสงค์จะตรวจเช็กดวงชะตา ทางวัดแจ้งว่า ต้องโทรสอบถามล่วงหน้าเป็นเวลา 1 วัน ในช่วงเวลา 15.00-20.00 น. โดยเปิดรับบัตรคิวที่ศาลาชินบัญชร ด้านในริมแม่น้ำ ตั้งแต่ 05.00–07.00 น. 1 คน / 1 ใบ ไม่สามารถรับแทนกันได้ และไม่สามารถโทรจองคิวล่วงหน้าได้ ทางวัดจะหยุดให้บริการตรวจดวงชะตาทุกวันพระและวันพฤหัส และไม่รับตรวจพื้นฐานดวงให้บุคคลที่อายุไม่ถึง 20 ปี บริบูรณ์ ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ http://wattamai.org

ที่มา :