18 สถานที่ควรไปเยือนในศตวรรษนี้ ก่อนที่มันจะหายไปตลอดกาล

กินเที่ยว
18 สถานที่ควรไปเยือนในศตวรรษนี้ ก่อนที่มันจะหายไปตลอดกาล

ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีก็พัฒนาจนแทบจะตามกันไม่ทัน ธรรมชาติก็เช่นกันที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา


ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นทุกวัน เทคโนโลยีก็พัฒนาจนแทบจะตามกันไม่ทัน ธรรมชาติก็เช่นกันที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานนับหลายปี บางสิ่งบางอย่างหรือบางสถานที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม อย่าง 18 สถานที่ดังต่อไปนี้ที่เว็บไซต์ distractify ได้รวบรวมให้เราเห็นว่า มันกำลังจะถูกกลืนกินให้หายไปจากโลกนี้ในอีกไม่นาน และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องออกเดินทางเพื่อไปยลโฉมพวกมันกันก่อนจะสายไป มาดูสิว่ามีที่ไหนกันบ้าง

1. อุทยานแห่งชาติ Glacier รัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา



ในระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมา ในจำนวนธารน้ำแข็งที่โดดเด่นและสวยงามทั้งหมดประมาณ 150 แห่งได้สูญสลาย ละลายหายไปแล้วมากกว่า 100 แห่ง และในปี 2014 ที่ผ่านมาก็เหลือธารน้ำแข็งอยู่อีกเพียง 24 แห่งเท่านั้น ซึ่งมันก็จะละลายกลายเป็นเพียงลำธารในอีก 30 ปีข้างหน้านี้ (ปี ค.ศ. 2045) การสูญสลายหายไปของธารน้ำแข็งก็มีผลกระทบต่อระบบนิเวศไม่น้อย เหล่าพืชพันธุ์และสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในเขตหนาวก็อาจจะสาบสูญไปด้วยเช่นกัน (ข้อมูลเพิ่มเติม The New York Times)

2. ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย



สถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยงามอลังการนี้ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไป เพราะมีการสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1632 แต่ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา มลภาวะทางอากาศสร้างผลกระทบต่อโครงสร้างของทัชมาฮาลอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการไปกัดเซาะเนื้อหินอ่อนสีขาวของมหาวิหารอันงดงามแห่งนี้ ซึ่งสิ่งที่น่าเศร้าก็คือสถานที่แห่งนี้จะมีการเปิดให้เข้าชมอีกเพียง 5 ปีเท่านั้น และหลังจากนั้นคุณก็จะทำได้เพียงเฝ้ามองทัชมาฮาลในระยะไกล (ข้อมูลจาก Daily Mail)

3. เกาะมาดากัสการ์


 
พืชพันธุ์และสัตว์บนเกาะมาดากัสการ์มากกว่า 80 % ที่ไม่สามารถเติบโตได้ที่ไหนบนโลกใบนี้ เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งว่าพืชพันธุ์และสัตว์ป่าบางชนิดที่มีการสืบพันธุ์มานานนับหลายล้านปีและเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากนี้อาจจะสูญหายไปในอีก 35 ปีข้างหน้า ป่าที่มีอยู่บนเกาะก็ไม่ได้มีการเจริญเติบโต หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เกาะมาดากัสการ์ก็จะหลงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า พืชและสัตว์ที่มีความโดดเด่นอย่างต้นบาวบับ (Baobab) และตัวค่างก็อาจจะไม่หลงเหลือบนโลกใบนี้อีกต่อไป (ข้อมูลเพิ่มเติม Lemurs of Madagascar and the Comoros: The IUCN Red Data Book)

4. เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี



เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่เมืองแห่งมนต์เสน่ห์แห่งนี้อาจจะจมไปอยู่ใต้น้ำในอีก 85 ปีข้างหน้าจากการวิจัยได้มีการค้นพบว่าใน 100 ปีที่ผ่านมาเมืองสายน้ำแห่งนี้ได้ลงไปอยู่ใต้น้ำแล้ว 9 นิ้ว อันที่จริงต้องบอกว่าเพราะระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นเสียมากกว่าที่ทำให้เมืองแห่งฝันและเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาอันเพริศพราวของอิตาลีนี้ค่อย ๆ ดำดิ่งลงสู่ผืนน้ำอย่างช้า ๆ ซึ่งมันอาจจะจมลงไปไม่เห็นแม้แต่หลังคาบ้านเรือนในปี ค.ศ. 2100 นี้ก็เป็นได้ (ข้อมูลเพิ่มเติม theguardian)

5. ลุ่มน้ำคองโก สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก



มนุษย์เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกใบนี้เปลี่ยนไป ทั้งการสร้างสรรค์แต่งเติมและทำลายธรรมชาติเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งลุ่มน้ำคองโกได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชมากมาย มีความหลากหลายทางชีวีภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ในพื้นที่อันกว้างใหญ่เกือบ 10 ล้านเอเคอร์ของมันได้หายไปทุกปีเนื่องจากการบุกรุกของมนุษย์ และสองในสามอาจจะสูญสลายไปในปี 2040 ที่กำลังจะถึงนี้ (ข้อมูลเพิ่มเติม ambacongo-us)

6. เกาะ Magdalen ประเทศแคนาดา



หาดทรายและหน้าผาหินอันงดงามของเกาะ Magdalen ถูกห้อมล้อมป้องกันการกัดเซาะของคลื่นน้ำทะเลด้วยผลึกน้ำแข็งมาหลายชั่วคน แต่ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปทำให้น้ำแข็งเริ่มละลายตัวลง ชายฝั่งจึงเริ่มถูกคลื่นเข้ามารุกรานมากขึ้น มีการยุบตัวของหน้าผาเกือบ 40 นิ้วต่อปี ทำให้พื้นที่บนเกาะอ่อนแอที่จะตั้งมั่นอยู่ต่อไป มันจึงมีความเสี่ยงที่จะถูกกัดเซาะและล่มสลายลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า (ข้อมูลเพิ่มเติม time)

7. เทือกเขาแอลป์ ยุโรป



เมื่ออากาศเริ่มเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วน้ำแข็งและหิมะจะไม่ละลายได้อย่างไร นั่นจึงเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่จะทำให้ธารน้ำแข็งที่อลังการบนเทือกเขาแห่งนี้ต้องละลายและหายไปในที่สุด นักเชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าหิมะจะไม่อยู่รอถึง 50 ปีข้างหน้านี้แน่ ๆ มันจะค่อย ๆ ละลายกลายเป็นน้ำ และหายไปโดยที่ลูกหลานของเราจะไม่มีวันได้เห็น
ข้อมูลเพิ่มเติม theguardian

8. ทะเลสาบเดดซี (Dead Sea) ประเทศจอร์แดนและประเทศอิสราเอล



          ทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ด้วยมีความมหัศจรรย์ที่ทำให้มนุษย์ลอยอยู่เหนือน้ำได้ ซึ่งก็ไม่ได้มีเวทมนตร์อันใดที่จะเสกให้มนุษย์ไม่จมน้ำ แต่เป็นเพราะน้ำภายในทะเลสาบมีความเข้มข้นของเกลือที่สูงมากจึงทำให้มวลสารอย่างมนุษย์สามารถลอยอยู่เหนือน้ำได้อย่างสบาย ๆ และเพราะเป็นทะเลสาบแห่งเกลือนี่เอง จึงเกิดการระเหยของน้ำตลอดเวลา ซึ่งตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมาพื้นที่และระดับน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ได้ลดลงจากขนาดเดิมถึง 1 ใน 3 เท่า จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าในอีก 50 ปีข้างหน้า ทะเลสาบแห่งนี้จะตายไปตามชื่อของมัน หลงเหลือไว้เพียงผลึกเกลือในบริเวณกว้างเท่านั้น (ข้อมูลเพิ่มเติม theglobeandmail และ escapehere)

9. แนวปะการัง เกรท แบริเออร์ รีฟ ประเทศออสเตรเลีย



แนวปะการังสุดยิ่งใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 345,000 ตารางกิโลเมตร พื้นที่อันเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำจากทั่วโลก กำลังจะถูกทำลายด้วยระดับกรดและอุณหภูมิที่สูงขึ้นในน้ำทะเล อีกทั้งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างการฟอกขาวของปะการังและการประมง รวมทั้งการท่องเที่ยวของมนุษย์ก็จะค่อย ๆ ทำลายแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่แห่งนี้ไปอย่างไม่มีวันเรียกคืนกลับมาได้ (ข้อมูลจาก Daily Mail)

10. หมู่เกาะมัลดีฟส์



จุดหมายปลายทางที่เป็น bucket lists ของใครหลายคน เป็นเกาะสวาท หาดสวรรค์ที่สร้างความสุขให้กับคนทั่วทั้งโลก แต่ในอนาคตอันใกล้ หมู่เกาะมัลดีฟส์กำลังจะจมอยู่ใต้มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะน้ำทะเลมีการเพิ่มระดับสูงขึ้นในทุก ๆ ปี อันที่จริงมัลดีฟส์อยู่เหนือน้ำทะเลเพียงแค่ 8 ฟุตเท่านั้น จึงเป็นไปได้ที่ใน 100 ปีข้างหน้าจะไม่หลงเหลือผืนดินแห่งมัลดีฟส์ให้ได้ชื่นชมกันอีกต่อไป (ข้อมูลเพิ่มเติม bbc)

11. อุทยานแห่งชาติ Everglades สหรัฐอเมริกา



บ้านแห่งเดียวของเสือดำฟลอริด้าแห่งนี้กำลังถูกรุกรานจากการทำฟาร์ม การกสิกรรม และได้กลายเป็นพื้นที่ใกล้เมืองไปแล้วกว่า 60 %  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ทำลายระบบนิเวศของป่าไม้และทางชีวภาพให้หมดสิ้นไปอย่างช้า ๆ ในส่วนลุ่มน้ำเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของจระเข้ขนาดใหญ่และขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวในโลก หากอุทยานแห่งนี้ถูกทำลายมากขึ้น โอกาสที่สัตว์ป่าหายากเหล่านี้จะสูญพันธุ์ก็มีมากขึ้นด้วยเช่นกัน
(ข้อมูลเพิ่มเติม budgettravel, evergladesfoundation และ bigcatrescue)

12. สาธารณรัฐเซเชลส์ (Seychelles)



 
สาธารณรัฐเซเชลส์ประกอบด้วยหมู่เกาะที่งดงามอย่างน่าเหลือเชื่อทั้งหมด 115 เกาะ ซึ่งพวกมันมักจะถูกเปรียบเทียบความงดงามกับสวนอีเดนอยู่เสมอ แต่ความเลวร้ายก็ได้มาเยือนหมู่เกาะแห่งนี้ด้วยเช่นกัน เพราะแนวปะการังรอบ ๆ เกาะกำลังตายและหมดไปอย่างช้า ๆ จึงทำให้คลื่นลมทะเลเข้ากระทบชายฝั่งและกัดเซาะพื้นที่บริเวณเกาะได้อย่างง่ายดาย มันจึงมีความเป็นได้ที่ใน 50 ปีต่อจากนี้เกาะเซเชลส์จะหลงเหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น (ข้อมูลเพิ่มเติม npr)

13. ปาตาโกเนีย (Patagonia) ประเทศอาร์เจนตินา



ปรากฏการณ์โลกร้อนส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งบนโลก โดยเฉพาะธารน้ำแข็งใหญ่ยักษ์ เปอริโต โมเรโน (Perito Moreno) ซึ่งอยู่ในเขตปาตาโกเนีย มีการละลายมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 300 ปีที่ผ่านมา และในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้  น้ำแข็งก้อนมหึมาจากลานน้ำแข็งสูงใหญ่นี้ได้ละลายหายลงไปแล้วมากกว่าสิบก้อน กินพื้นที่ลานน้ำแข็งให้สั้นเข้าไปอีก ความงดงามอลังการของลานน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้อาจจะอยู่ให้เราได้ชื่นชมอีกเพียง 50 ปี (ข้อมูลเพิ่มเติม escapehere และ independent)

14. หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ประเทศอียิปต์



หลุมศพของกษัตริย์และราชวงศ์ในราชอาณาจักรใหม่แห่งนี้ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ ได้หลบซ่อนอยู่ภายใต้ธรรมชาติสุดลึกลับ แต่ทว่าเมื่อมีการถูกค้นพบก็ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวและผู้เยี่ยมเยือนมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุหลักที่จะทำให้หุบเขาแห่งนี้ล่มสลายลงในอีก 150 ปีข้างหน้า (ข้อมูลเพิ่มเติม huffingtonpost)

15. หมู่เกาะกาลาปากอส ประเทศเอกวาดอร์



สถานที่ซึ่งเป็นแหล่งรวมความอุดมสมบูรณ์ของธรณีวิทยา สัตววิทยา และนิเวศวิทยา ครอบคลุมพื้นที่ในทะเลราว 59,500 ตารางกิโลเมตร ความโดดเด่นของเกาะแห่งนี้ก็คือมีธรรมชาติที่งดงาม มีพืชพันธุ์และสัตว์ป่าดึกดำบรรพ์ที่หายาก แต่ปัจจุบันกำลังจะสูญพันธ์ไปเพราะการท่องเที่ยวและการล่าสัตว์ของมนุย์ ปัจจุบันมี 45 สายพันธุ์ของสัตว์และพืชได้สูญหายไปแล้ว (ข้อมูลเพิ่มเติม galapagos, mentalfloss และ bbc)

16. ยอดเขาคิลิมันจาโร (Mount Kilimanjaro) ประเทศแทนซาเนีย



ยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งทวีปแอฟริกา มนต์เสน่ห์ของมันได้ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกหลงใหล ด้วยความที่เป็นยอดภูเขาไฟเดี่ยว มันจึงโดดเด่นเป็นสง่าขึ้นมาท่ามกลางป่าเขาอันกว้างใหญ่ หิมะมากมายที่ปกคลุมบนยอดเขาอันสัญลักษณ์แห่งความสวยงามของคิลิมันจาโรได้ละลายหายไปแล้วกว่า 85 เปอร์เซนต์ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเตือนว่ายอดเขาจะปราศจากหิมะในอีก 20 ปีที่จะถึงนี้ (ข้อมูลเพิ่มเติม fodors  และ independent)

17. กำแพงเมืองจีน ประเทศจีน



พายุทรายทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนกำลังบั่นทอนทำให้กำแพงเหล่านี้ยุบตัวลง ในขณะที่อีกทางด้านหนึ่งนั้น คนจำนวนมากได้ขึ้นไปเยี่ยมชมและเดินบนทางเดินในเขตกำแพงกันทุกวัน จนอาจจะทำให้กำแพงเหล่านี้ยุบตัวลงเช่นกัน นักวิชาการจึงได้แนะนำให้มีการปิดปรับปรุงหรือปิดทำการกำแพงแห่งชีวิตของคนจีนเส้นนี้ไปเลยในอนาคต (ข้อมูลเพิ่มเติม nytimes และ reuters)

18. สาธารณรัฐนาอูรู



สาธารณรัฐนาอูรูเป็นประเทศที่มีพื้นที่เป็นเกาะที่เล็กที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่แค่ 8 ตารางไมล์เท่านั้น การทำเหมืองแร่บนเกาะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อแนวปะการังที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ เกาะ ปะการังเหล่านี้จึงต้องถอยห่างออกจากการป้องกันแนวฝั่งของเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ ซึ่งเมื่อใดที่ไม่มีปะการังเป็นแนวป้องกันคลื่นที่ซัดสาด นั่นก็หมายความว่าผืนดินจะถูกกัดเซาะไปเรื่อยๆ และมันก็จะจมหายไปในที่สุด (ข้อมูลเพิ่มเติม reuters)

ไม่ว่าทั้ง 18 สถานที่นี้จะอยู่กับเราไปได้อีกนานแค่ไหน มันก็คือตัวอย่างดีๆ ที่ทำให้เราได้หันมาใส่ใจและตระหนักถึงการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนกันมากขึ้น การดูแลและไม่ทำลายธรรมชาติก็จะสามารถต่ออายุให้กับสวรรค์บนดินเหล่านี้ให้อยู่กับเราไปอีกนานเท่านานได้เช่นกัน


ที่มา :