สัมภาษณ์พิเศษ โน๊ต-อุดม แต้พานิช ในปี 2558

บันเทิง
สัมภาษณ์พิเศษ โน๊ต-อุดม แต้พานิช ในปี 2558

ทุกคนรู้จัก “โน๊ต” อุดม แต้พานิช กันแบบชนิดที่เราไม่ต้องอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของเขามากนัก เพราะเขาคือตลกจมูกโต ที่เป็น Standup Comedian เบอร์ 1 ของเมืองไทย


ทุกคนรู้จัก “โน๊ต” อุดม แต้พานิช กันแบบชนิดที่เราไม่ต้องอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของเขามากนัก เพราะเขาคือตลกจมูกโต ที่เป็น Standup Comedian เบอร์ 1 ของเมืองไทย และสนิทสนมกับคุณแม่ทองสุข แม่แท้ๆ ของตัวเองมากที่สุด

หากใครที่เป็นแฟนคลับตัวจริงคงพอเดาทางถูกว่าถ้าโน๊ต อุดม เริ่มออกสื่อนั่นก็หมายความว่าภารกิจ “คืนความสุข” ของเขากำลังจะกลับมา..เขาหายไปไหน เขาหายไปทำอะไร เขาเลิกกับผู้หญิงคนนั้นหรือยัง เขาจะทำอาชีพนี้ไปจนตายหรือเปลี่ยนไปทำนา ในวันที่โน๊ต อุดมอายุใกล้ 50 กับชีวิตที่แสนลงตัว เขาให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Sanook! ในทุกคำถาม

ช่วงนี้คุณกับคุณแม่ทองสุขสบายดีไหม
“สบายดีจ้ะ ชีวิตช่วงนี้เป็นช่วงที่ชอบมาก มันดูทุกอย่างลงตัว ทั้งเรื่องชีวิต การเงิน การงาน ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรอีก ไม่เป็นหนี้ สุขภาพดี คนรอบตัวมีความสุข และได้ทำงานที่เรารัก”

“ส่วนคุณแม่ ถ้าเข้าชิง เขาน่าเป็นผู้หญิงที่มีความสุขติดอันดับโลก ไม่ป่วยเลย สุขภาพจิตดี ได้ออกกำลัง ได้ไปเติมขาให้กับเพื่อน มีกลุ่มเพื่อนของเขา ก่อนวันหวยออก ก็จะออกไปเอาท์ติ้ง ไปเก็บเลขเด็ด วงจรชีวิตเขาลงตัว ตื่นเช้าได้ทำอาหารให้ลูกและพนักงานที่บริษัทอย่างต่ำ 8 อย่าง เขาเลยเป็นคนสูงวัยที่ไม่ว่างเปล่า มีกิจกรรมทำตลอด”

ผ่านเดี่ยว 10 ไปประมาณ 2 ปีแล้ว คุณหายไปไหนมา ทำแบบนี้บางคนมองว่าเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด
“ไม่มีกลยุทธ์อะไรทั้งนั้น มันก็เป็นแบบนี้มาทุกเดี่ยว ผมรู้สึกว่าทำงานแล้วต้องใช้เงิน ผมไม่ได้มีเป้าหมายว่าต้องร่ำรวยมหาศาล หรือมีเงินในบัญชีเท่านี้แล้วจะมีความสุข คิดแค่ว่าทำงานมา ได้เงิน แล้วก็เอาเงินไปใช้ ให้แม่ ให้น้อง ใช้ส่วนที่เราอยากใช้ ท่องเที่ยว เดินทาง ระบบนิเวศของผมเป็นแบบนี้คือ “ทำเดี่ยว ได้เงิน ท่องเที่ยว แล้วก็เดี่ยว” เหมือนชาวนานั่นแหละ พอหมดฤดูเก็บเกี่ยว ก็เย็บปักถักร้อย มีการละเล่น เถิดเทิง”

เปรียบตัวเองว่าทำงานเหมือนชาวนา แต่ผลตอบแทนของคุณมันต่างจากผลตอบแทนของชาวนาหลังขายข้าวมากนะ
“(หัวเราะ) เราโชคดี ถ้าเราเป็นชาวนา มันก็มีผู้ผลิตหลายเจ้า หลายประเภท ปลูกข้าวหลายอย่าง มีข้าวไรท์เบอรี่ ข้าวปลอดสาร แต่ผลิตภัณฑ์ของเรามีคู่แข่งไม่มาก เลยได้ผลตอบแทนที่พอจะทำให้เราอยู่ไปได้”

ระยะห่างของเดี่ยวแต่ละครั้ง ที่ทำให้ตัดสินใจว่าจะออกมาเดี่ยว หรือยังไม่ออกมาเดี่ยว มันเป็นเพราะอะไร เกี่ยวกับวัตถุดิบไม่พร้อมหรือเปล่า
“มันต้องเริ่มจากความรู้สึกข้างในก่อนว่าอยากจะเล่าอะไรออกมา แล้วความคิดนั้นมันสุกงอม ตกตะกอนแล้วหรือยัง มีคนเคยบอกให้ทำปีละครั้ง หรือสองครั้งมันก็อาจจะมีคนดู แต่ถ้าข้างในมันไม่ได้อยากเล่า มันก็ทำไม่ได้ มันต้องมีเรื่องอยากเล่าถึงจะทำได้ดี ไม่ใช่เหมือนเด็กเรียนการร้องเพลงแล้วทำท่าดึงมือเข้า ดึงมือออก แต่เขาไม่ได้เชื่อในเพลงนั้น ผมก็เป็นแค่คนที่ต้องเชื่อกับมันก่อนแล้วถึงจะถ่ายทอดได้ดี”

เดี๋ยวกำลังจะมีเดี่ยว 11 มีความกดดันไหม เพราะคนดูต้องคาดหวังว่าเข้าไปแล้วต้องขำกว่าเดิม สนุกกว่าเดิม สะใจกว่าเดิม
“สารภาพแบบไม่อายเลยว่ากดดัน และไม่มีครั้งไหนที่ไม่กดดัน และเราต้องแบกความกดดันนั้นไว้ทั้งสองบ่า และมันเป็นความกดดันที่โรงเรียนไม่มีสอน อยากได้คำตอบแต่ไม่มีโรงเรียนมาบอก ประมาณว่า “อย่าทำอะไรที่มันดูพยายามมากไป กับการที่ทำอะไรเหมือนเดิมที่เขาชอบกันอยู่แล้ว แล้วดูเหมือนไม่พัฒนาเลย” มันเป็นเส้นบางๆ ที่เราต้องจัดการและทำให้พอดี ต้องดูไม่พยายามเกินไป แต่ก็ต้องไม่ดูเหมือนไม่ได้พัฒนาอะไรเลย แล้วบางทีมันก็ไม่รู้จะไปทางไหน”



ฟังดูสาหัสสากรรจ์มาก แล้วมีวิธีจัดการกับความสาหัสเหล่านั้นอย่างไร
“ยังแก้ไม่ได้ สุดท้ายมันก็เหมือนการทำ Thesis วันสุดท้ายก็ได้งานออกมา ผมก็ต่อสู้กับมันอยู่ แต่มันเป็นสิ่งที่คนทำงานศิลปะต้องเจอ แล้วผมมีความยากอีกอย่างคือ คนดูเราไม่ได้มีแค่กลุ่มๆ เดียว อย่างนักร้องเพลงร็อคก็จะมีคนดูเป็นกลุ่มร็อค แต่ผมมีหลายกลุ่ม ผมเลยต้องทำเรื่องราวของผมไม่ให้สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง เป็นสิ่งที่ผมต้องจัดการให้ดี”

พอพูดเรื่อง “สุดโต่ง” ทุกครั้งในเดี่ยวฯ จะต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง แต่ในช่วงเวลานี้บ้านเมืองเราแบ่งสีกันชัดเจน แล้วคุณจะยืนอยู่ตรงจุดไหน และเลือกนำเสนอโชว์อย่างไรให้คนในงานไม่ตีกัน
“ทุกเดี่ยวที่ทำมาก็เป็นแบบนี้ แต่เรามีวิธีคิด 2 อย่างคือ “ท้อแท้” กับ “ท้าทาย”  เรารู้สึกกับมันยังไง คือถ้าเราเลือกคิดแบบท้อแท้ เราก็จะคิดว่าแต่ละสีไม่ธรรมดา ไม่ยุ่งกับเขาดีกว่า แต่ถ้าเราคิดว่าท้าทาย เราก็แตะเขาได้แล้วทำอย่างไรให้เขาไม่เคืองเรา เอาไปผสมกับเพลง หรือเล่าเรื่องอะไรแล้วเคลือบสารที่เราอยากบอกไว้ข้างใน มันสนุกตรงนั้น เดี่ยวทุกครั้งการเมืองมันขึ้นๆ ลงๆ ผมโชคดีที่ไม่ได้เอียงไปทางไหน ผมล้อเขาทุกคน มีบางคนบอกว่าผมพูดแทนเขา แต่ผมก็รู้เท่าพวกเขาแหละ ไม่ได้รู้มากไปกว่าพวกเขา”

พอดีเดี่ยว 11 มันอยู่ในช่วงรัฐบาลคืนความสุข ที่เรารู้กันว่า ใครมีอำนาจสูงสุด แล้วแบบนี้ต้องมีการคัดกรองมุกกันก่อนไหม หรือจะต้องมีทหารเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในผู้ชมเดี่ยวฯ
“(หัวเราะ) มีลูกน้องถามว่า “เฮีย ถ้าไปล้อทหารแล้วเขาเรียกเฮียไปปรับทัศนคติ เฮียจะทำยังไง ? ”  ผมก็ตอบกับลูกน้องว่าผมอยากโดนเรียกไปปรับทัศนคติมากเลย อยากรู้เขาปรับกันยังไง ชาวบ้านก็คงอยากรู้ว่าเขาพูดอะไรกัน ทำไมคนที่ออกมาถึงเรียบร้อย บทสนทนาในนั้นมันน่าสนใจ ผมอยากได้ยิน แต่ผมเชื่อว่าเขาไม่ทำร้ายร่างกายแน่ๆ เพราะคนระดับนั้นไม่น่าจะเอาวิธีเหล่านั้นมาใช้ แต่บทสนทนาที่เขาพูดมันน่าสนใจ คนออกมาอยู่กับร่องกับรอยหมด (หัวเราะ)”

มีผู้ชมส่วนหนึ่งไม่ได้เข้าไปเอาขำอย่างเดียว แต่ตั้งใจเข้าไปเอาความสะใจ ในฐานะเจ้าภาพของงานคุณว่ามันจริงไหม แล้วมันจะยังง่ายอยู่ไหมกับการพูดจากระทบคนอื่น
“ผมว่าหัวใจของ Standup Comedy คือการพูดสิ่งที่อยู่ในใจคน เขาชอบที่เราพูดแทนเขา เพราะเขาไม่มีโอกาสพูด หรือไม่เขาก็อยากได้ยินสิ่งนั้น นั่นแหละคือหัวใจของอาชีพนี้ เขาอยากจะหัวเราะกับชีวิตของตัวเขาเอง”

“เรื่องพูดกระทบคนอื่นมันคือศิลปะ ที่คุณจะไปล้อเขาอย่างไรไม่ให้เขาโกรธคุณ มันเป็นศิลปะขั้นสูง ที่ผมกำลังเรียนรู้มันอยู่ ไม่ใช่ว่าผมชำนาญ แต่ถ้าไม่ให้ล้อใครเลย มันก็ทำอาชีพนี้ไม่ได้ เหมือนตำส้มตำขายแต่ไม่มีพริก ไม่มีกระเทียม ไม่มีปลาร้า มันคงต้องไปทำอย่างอื่นแล้วละ”

เดี่ยวฯ แต่ละครั้งมันมีความแตกต่างกันไหม เพราะดูเหมือนมันจะเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน มีร้องเพลง มีปรบมือ มีเรื่องการเมือง มีเรื่องเสียดสีสังคม
“มันเหมือนเพลงในแต่ละอัลบั้ม เพลงในนั้นมันก็มีเพลงรักสมหวัง รักไม่สมหวัง เขาจากไป เราอยากได้เขาคืนมา เพลงสู้ชีวิต มันก็ประมาณนี้ แต่ความแตกต่างมันอาจจะเป็นความเปลี่ยนแปลงทางวุฒิภาวะของนักร้องคนนั้น เหมือนเราฟังคาราบาวในยุคแรกๆ มันก็จะมีเพลงเมดอินไทยแลนด์ อะไรแบบนั้น แล้วอยู่มาวันหนึ่งพี่แอ๊ดก็ทำเพลงทะเลใจ เพลงนี้มันจะทำตอนยุคแรกไม่ได้นะ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงวุฒิภาวะทางความคิด ส่วนเดี่ยวแต่ละครั้งต่างกันไหม มันก็จะเป็นโครงสร้างประมาณนี้ อุดมมาเล่า ถ่ายทอดประสบการณ์ ทัศนคติของเขากับสิ่งที่เขาเจอ สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ สิ่งที่เขาอยากแชร์”

ถ้านับจากครั้งแรกนี่มันก็ 20 ปีมาแล้ว แสดงว่านี่ก็เป็นเดี่ยวที่จะแสดงว่าวุฒิภาวะทางความคิดของคุณเติบโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่งละสิ
“มันจะโชว์ความไม่เติบโตละสิ มันเหมือนพอคุณอายุมากขึ้น แต่คุณก็ไม่ได้รู้อะไรมากขึ้นหรอก และที่อาการหนักคือ “แม่งไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า” ผมมาเข้าใจในหนังสือหลายๆ เล่มที่ผมอ่าน เมื่อคนอายุเยอะจะรู้สึกว่าเอาเข้าจริงแล้วเราไม่รู้อะไรเลย นี่คือสิ่งที่ผมกำลังประสบอยู่”

มีคนสนใจเรื่องความรักของคุณมาก ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
“ตอนนี้โสด โสดมาได้ 3-4 ปีแล้ว แต่ตอนนี้พอใจกับชีวิตแบบนี้มากที่สุด ไม่ดิ้นรน ไม่ไขว่คว้า มันเลยช่วงเวลานั้นมาแล้ว ส่วนหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ อันนี้ผมไม่รู้ ให้ธรรมชาติจัดสรรคู่มา ถ้ามีมาก็ไม่ปฏิเสธ ยินดี แต่ถ้าให้ไปไล่แชท ตามจีบใคร มันไม่มีพลังงานด้านนั้นเหลืออยู่เลย”

อยู่แบบนี้ไม่เหงาเหรอ เพราะคนไม่มีแฟน มันต่างจากคนมีแฟนนะ
“ผมเคยแต่งเพลงให้สิงโต นำโชคแต่มันไม่ได้อยู่ในอัลบั้มของเขาเพราะมันไม่เข้ากับเพลงอื่น ชื่อเพลงว่า “สองคนเหงากว่า” เนื้อเพลงบอกว่าอยู่คนเดียวว่าเหงา แต่บางครั้งอยู่สองคนเหงากว่า การอยู่ในห้องคนเดียวมันรู้สึกว่าห้องๆ นี้ขาดใครไปสักคนหนึ่ง แต่วันที่คุณเอาใครคนหนึ่งเข้ามาเติม แต่ถ้าคนนั้นไม่ใช่ คุณจะรู้สึกว่าห้องๆ นั้นมีคนเกินมา 1 คน บางครั้งนอนเตียงเดียวกันแต่ฝันคนละอย่าง อยู่กับคนที่ปรึกษาไม่ได้ แชร์ไม่ได้ หรือว่ารสนิยมไม่ตรงกัน แบบนั้นเหงากว่า”

“ผมว่าถ้าเราจะมีคู่เพื่อคลายเหงา มันก็ไม่ต่างจากการที่คุณเห็นหมาน่ารักที่จตุจักร แล้วก็เอามันมาคลายเหงา ตอนคุณเหงาก็เล่นกับมัน พอไปทำงานก็ทิ้งให้มันอยู่ตัวเดียว 12 ชั่วโมง มันก็รอคุณ กัดทุกอย่างในห้อง พอคุณกลับมา มันดีใจก็วิ่งไปหาคุณ คุณเล่นกับมัน 20 นาที คุณก็ต้องดูทีวี เล่นมือถือ อาบน้ำ นอน แล้วคุณก็ปล่อยมันอีก 12 ชั่วโมง เป็นแบบนี้ทุกวัน และนี่คือความรักแบบคลายเหงา”



รอให้ธรรมชาติจัดสรร แสดงว่าเชื่อเรื่องพรหมลิขิต
“เชื่อเรื่องกฎธรรมชาติ เดี๋ยวมันก็มีมั้ง ไม่รู้ แต่ตอนนี้มีความสุขดี คนมีคู่ก็มีชุดความทุกข์ของคนมีคู่ คนโสดก็มีชุดความทุกข์ของคนโสด ไม่มีฝั่งไหนไม่ทุกข์เลย แล้วแต่เลือก เมื่อเรากระโดดข้ามเส้นไปอยู่อีกฝั่งหนึ่งเราก็ต้องรับผิดชอบด้วยนะ เพราะวัยขนาดนี้ แต่งงานมีลูกก็เป็นชีวิตคู่ไป เป็นครอบครัว ไม่มีมากุ๊กกิ๊กไปวันๆ พร้อมหรือยัง อยากจะไปอยู่เส้นนั้นไหม ผมว่าผมอยู่ฝั่งนี้ดีแล้ว ทุกวันนี้ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร อะไรที่มันไม่เสีย เราก็ไม่ต้องไปซ่อมมัน”

 
คนบางคนก็บอกว่าโน๊ต อุดม น่าจะเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก
“ก็จริง อาจจะเป็นคนง่ายๆ มันมีนะคนง่ายๆ แต่อยู่ด้วยยาก เพราะมันง่ายสำหรับตัวเอง แต่มันยากสำหรับคนอื่น เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยนะเพราะมันจริง ผมเป็นคนชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบออกไปไหน ชอบนั่งประดิดประดอยเล็กๆ น้อยๆ ชอบนั่งวาดรูป คนจะมาเป็นคู่ก็ต้องมีจังหวะชีวิตที่สอดคล้องกัน เรานั่งอยู่บ้าน แต่เขาอยากออกไปช้อปปิ้ง แค่เรื่องเดียวมันก็ยากอยู่แล้ว”

ใครๆ เขาก็อยู่ในโลกโซเชียลกันทั้งนั้น แต่คุณไม่เล่นทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ทั้งๆ ที่คนอื่นมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร แถมยังได้ประชาสัมพันธ์ตัวเอง
“มันเสียเวลา ดึงสมาธิ ผมเป็นคนรุ่นเก่าที่เชื่อว่าการทำอะไรให้ดีคือการจดจ่อกับสิ่งนั้นสิ่งเดียว กินข้าวก็กินข้าว จะอ่านหนังสือพิมพ์ก็อ่าน ถ้าจะกินข้าว อ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย เช็คไลน์ไปด้วย จะทำได้ไม่ดีเลยสักอย่าง เพราะเราจะไม่รู้รสชาติอาหารที่แม่อุตส่าห์ทำให้ หนังสือพิมพ์ก็อ่านคร่าวๆ เพราะเดี๋ยวต้องไปดูไลน์ที่เด้งมาอีก ตักข้าวคำหนึ่ง หันไปอ่านหนังสือพิมพ์ เดี๋ยวหันไปตอบไลน์ แล้วบางทีมีคนตะโกนเรียกข้างหลังก็ไม่ได้ยิน ผมไม่ได้ว่าคนรุ่นใหม่นะ เขาทำได้ แต่ผมเป็นคนรุ่นเก่าที่ทำได้ทีละอย่าง วาดรูปผมก็ปิดมือถือ เวลานอนผมปิดมือถือ ถ้าเล่นพวกนี้ผมจะเสียเวลากับการเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ วาดรูป ไม่เอา”

“ผมจะเปิดรับเฉพาะตอนที่อยากให้มันเข้ามา ผมว่าข่าวสารมันต่างกับข้าวสารตรงนี้แหละ ข่าวสารนี่ได้มาเท่าไรก็ไม่เคยอิ่ม อยากรู้ไปเรื่อยๆ เราหิวตลอด แต่ข้าวสารนี่เรากินยังอิ่ม ข้อมูลเป็นคนละอย่างกับปัญญา พระบางทีไม่ได้ยุ่งเรื่องโซเชียล แต่พอไปคุยด้วยแล้วรู้สึกเป็นปัญญา แต่ข้อมูลบางข้อมูลที่ได้มาไม่ก่อให้เกิดปัญญา แตงโม-โตโน่เลิกกัน ดีกัน แยกกัน ถามว่ามันมีผลกับชีวิตของเราไหม”

“แต่ถ้าพระบางรูปมาจากบ้านนอกแบบว่าไม่รู้อะไรเลย เดินมาพูดว่า “โยม หนักตรงไหนก็วางไว้ตรงนั้นนะโยม” ปิ๊งเลย เรามีปัญหามาทั้งชีวิต แค่ประโยคเดียวจากคนที่ไม่ต้องเรียนจบจากที่ไหน อย่างนี้เรียกว่าปัญญา”

มาทำเดี่ยวตอนอายุใกล้ 50 แบบนี้ มันเหนื่อยกว่าเมื่อก่อนไหม หลายคนสงสัยว่าคุณจะเดี่ยวไปจนถึงเมื่อไร
“มันไม่เหนื่อยกายหรอก แต่มันเหนื่อยในเรื่องความจำ เพราะถ้าผมเป็นคอมพ์ก็วินโดส์ 95 แรมอะไรก็ไม่เหลือแล้ว ประมวลผลช้ามาก จำอะไรไม่เหมือนก่อน วิธีที่ดีที่สุดคือยอมรับกับมัน เราลืมก็บอกเขาเลยว่าเราลืม ไม่ต้องทำว่าเราเก่ง เพราะมันก็เป็นไปตามสภาพ แล้วผมก็คิดว่าคนฟังเข้าใจ เพราะเดี๋ยวอีกไม่กี่ปีเขาก็เป็น หรือบางคนก็รุ่นเดียวกับผม”

ชีวิตคุณมันช่างน่าอิจฉา มีใครหลายๆ คนอยากเป็นแบบคุณ มีเงิน ได้ไปเที่ยว แล้วค่อยกลับมาทำงาน
“ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ที่พอจะแชร์ได้คือ ชีวิตผมไม่มีงานประจำ มีแต่งานอดิเรก ผมเลือกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ต้องตอกบัตร งานอดิเรกคืองานที่เราชอบ ทำเพราะอยากทำ เวลาทำอะไรที่รักมันจะเหมือนไม่ได้ทำงาน เราเป็นแบบนั้น เรารู้สึก เราเลือก และรอได้ เรียงลำดับความสำคัญให้มันดี ไม่ใช่หาเงินอย่างเดียว เงินใครก็อยากได้ แต่ถ้ามีแล้วไม่ใช้ จะมีทำไม ผมไม่เข้าใจ ผมเห็นคนรวยรอบๆ ตัวผมมีเงินในบัญชีเพิ่มมากขึ้น มีแต่เขากับคนใกล้ตัวที่รู้ ความสุขมันไม่ใช่ตัวเลขศูนย์ที่เพิ่มมากขึ้น แต่ความสุขคือคุณเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรกับชีวิตของคุณบ้าง เอาไปพัฒนาชีวิต ความคิด จิตวิญญาณของตัวเองหรือเปล่า”

พอพูดแบบนี้เดี๋ยวคนก็บอกอีกว่า ใช่สิ คุณมีเงิน คุณก็พูดได้
“ใช่ ผมมีเงิน เพราะผมขยันไง ผมเชื่อว่าคนขยันไม่อดตาย และที่มีทุกวันนี้ได้เพราะความขยันจริงๆ ผมยึดที่พระพุทธเจ้าสอนเลยนะ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา รักในงานที่ทำ ใจจดจ่อกับมัน พัฒนามันให้ดีขึ้น ทำมันต่อเนื่อง ไม่ท้อ อยู่กับมันตลอดเวลา ผมขยันและทำงานหนัก ผมเชื่อว่า “ความสำเร็จเกิดจากการทำงานหนัก ไม่มีทางลัด”

"อย่ามาทำเป็นบอกว่าผมมีเงิน ผมว่าคนที่พูดแบบนี้น่าจะเป็นพวกฮิปเตอร์ ไอ้พวกสโลว์ไลฟ์ ผมอยากจะบอกเลยว่าอย่าเพิ่งมาดัดจริตสโลว์ไลฟ์ เพราะคุณเพิ่งเรียนจบกันมาหมาดๆ ชีวิตต้องรีบก่อนเลย ต้องขยัน ทำงานหนักก่อน ก่อนที่จะมานั่งชิล ใช้ของแพงๆ ใช้ของที่ดูเหมือนง่าย ชีวิตที่ใช้กับชีวิตที่โชว์อันเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่คุณผ่านการทำงานหนักหรือยัง ถ้ายังไม่เคยผ่านอย่ามาโชว์สโลว์ไลฟ์ใส่กัน จะมานั่งจิบกาแฟ Dip ใส่กัน กาแฟถ้วยนึงราคาเท่าไร แล้วคุณหาเงินได้วันละเท่าไร คนที่ทำแบบนั้นจำเมืองนอกเขามา เพราะเขารวยแล้ว ญี่ปุ่นเขารวยแล้ว คุณยังไม่มีกิน อย่าเพิ่งดัดจริตสโลว์ไลฟ์ โอเคไหม มันต้องขยัน ผมขยัน ถ้าจะยืนยันทำสิ่งเดิม คุณก็จะเป็นฮิปเตอร์ที่ยังนั่งจิบกาแฟแบบนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะเป็นฮิปเตอร์คนเดิมที่ผมหงอกขึ้น แต่ชีวิตไม่มีอะไรเลย มีแต่ความเท่ไว้พูดกัน”



สิ่งที่คุณทำแต่ละอย่างมันเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป ทั้งพูดในที่คนเยอะๆ ทำให้คนหัวเราะ หรือการโน้มน้าวใจให้คนทำตาม คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องของพรสวรรค์หรือพรแสวง
“มันมาคู่กัน ผมคงไม่ตอบแบบเท่ๆ ว่ามันเป็นพรแสวงอย่างเดียว เรื่องการพูด เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เราทำได้โดยไม่ต้องพยายามมาก แต่ถ้าเขียนหนังสือเราต้องพยายามมาก เพราะเราเขียนไม่เก่ง เรียนไม่สูง ความรู้รอบตัวไม่เยอะ หรือถ้าวาดรูปเราทำได้ง่ายกว่า เราชอบ ทำแล้วเพลิน ส่วนเรื่องพูดนั้นง่ายกว่าทั้งหมดเลย สิ่งเหล่านี้เราต้องจัดลำดับมัน ผมว่าทุกคนมีหมด อยู่ที่ว่าใครจะทำตาม"

"สมมุติคนบางคนทำอาหารเก่ง ก็ดูจะหยิบจับอะไรถูกมือไปหมด แต่เปลี่ยนไปขายตรงเพราะอยากรวย สุดท้ายคุณอาจทิ้งทักษะที่ดีของตัวเองไป “ทักษะดีๆ ที่เรามี แต่ไม่ได้ใช้ ก็เหมือนปากกาเคมีที่เปิดฝาทิ้งไว้ แต่ไม่ได้เขียน” มันจะเขียนไม่ติด เผอิญผมรู้ ผมใช้ และตั้งใจพัฒนาในส่วนนี้ อะไรที่เสริมมันได้ ฝึกฝน หาความรู้เพิ่มเติม ทดลองในรูปแบบต่างๆ ทำมาเรื่อยๆ ทุกวัน”

เตรียมที่ เตรียมทางไว้หรือยัง คุณจะเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ต่อไปอาจจะอยากอยู่นิ่งๆ เหมือนคนอื่นที่เขาหันไปทำนา ทำเกษตรอินทรีย์ หรือปฏิบัติธรรมอะไรทำนองนั้น
“ธรรมะสุดท้ายน่าจะจริงที่สุด ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าพูดอะไรผิดเลย ผมว่ามันเป็นเคล็ดลับความสำเร็จ ผมเรียกว่าการทำสมาธิละกัน เพราะถ้าเรียกปฏิบัติธรรมมันจะดูเป็นคนดีมีธรรมะ การทำสมาธิเป็นหัวใจสำคัญของชีวิต ผมจำอะไรขนาดนี้ไม่ได้ หรือลำดับเรื่องไม่ได้ ถ้าจิตไม่มีสมาธิ มันเป็นเคล็ดลับความจำของผม การแตกแขนงออกไป การควบคุมจิตของตัวเองกับความตื่นเต้นในระดับสุดขีด มันต้องเป็นจิตที่ฝึกมาดีแล้ว ถึงจะควบคุมได้”

ในเมื่อตลกจมูกโตคนนี้ยังคงเป็นชายขายอารมณ์ขัน ซึ่งตัวเขาเองเปรียบเปรยไว้ว่ามันดุจดั่งขนมหวาน ขนมหวานชิ้นนี้ก็คงมีน้ำตาลที่ให้ความหวานชุ่มชื่นหัวใจอยู่ในระดับกำลังดี นานๆ ชิมสักทีก็น่าจะพอดีกับที่ร่างกายขาดความหวานมานาน พวกคุณเห็นด้วยไหม

ที่มา :