น้ำตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี

ข่าวประชาสัมพันธ์

น้ำตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี

 

จากตัวเมืองออกไปประมาณ 65 กม. โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 3199 (กาญจนบุรี - ศรีสวัสดิ์) ผ่านเขื่อนท่านา ทิวทัศน์สองข้างทางชวนให้จินตนาการล่องลอยไปไกลจนกระทั่งมองเห็นป้ายเขื่อน ศรีนครินทร์ จากนั้นไม่นานเราก็มายืนอยู่ที่จุดหมายอีกแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี คือ “น้ำตกเอราวัณ” นั่นเอง

เนื่อง จากอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ “อุทยานแห่งชาติเอราวัณ” ดังนั้นสถานที่และการบริการต่างๆ จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตามแบบฉบับของอุทยานแห่งชาติที่เราเห็นๆกัน เดิมที อุทยานเอราวัณแห่งนี้มีชื่อว่า   “อุทยานแห่งชาติเขาสลอบ” ซึ่งได้รับการประกาศมาตั้งแต่ 19 มิถุนายน 2518 โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 343,735 ไร่ และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เนื่องด้วยลักษณะของน้ำตกเอราวัณในชั้นที่เจ็ด (ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดและสามารถมองเห็นได้จากที่ทำการ) ในช่วงที่น้ำมีปริมาณมาก จะมองเห็นมีลักษณะคล้ายกับหัวช้างเอราวัณอย่างน่าอัศจรรย์

บริเวณ ของที่ทำการอุทยานฯ มีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมบนสนามหญ้ากว้างๆ หรือลานกางเต๊นท์ริมฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ รวมทั้งบ้านพักแบบมาตรฐานของอุทยานฯ และ ที่ลานจอดรถก็มีร้านจำหน่ายอาหารทั้งอาหารตามสั่ง ของที่ระลึก รวมไปถึงของใช้และอุปกรณ์สำหรับการเล่นน้ำ

ก่อน เข้าสู่เขตอุทยานฯ ยังมีชุมชนอีกแห่งบริเวณทางเข้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดเทศบาลซึ่งมีของขายหลากหลายชนิด เช้าๆ ก็มีปาท่องโก๋ซาลาเปาขาย  มีที่ทำการไปรษณีย์และตู้ ATM ของธนาคารกรุงเทพให้บริการด้วย

ที่ อุทยานแห่งนี้มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งวันถึงแม้จะมีช่วงแดดร้อนบ้าง แต่ดงป่าไม้ที่ร่มครึ้มก็ช่วยให้ความร้อนจากแสงแดดทุเลาเบาบางลง แต่หากมีฝนตกลงมาก็อาจจะมีเฉอะแฉะบ้างนิดหน่อย แต่เป็นสถานที่ที่คุณจะได้สูดรับโอโซนได้อย่างเต็มปอด เพราะค่อนข้างห่างไกลจากมลพิษ และอยู่ในวงล้อมของป่าเขาลำเนาไพร รวมทั้งมีสายน้ำที่ให้ความชุ่มเย็นเป็นปริมาณมากด้วย

สาย น้ำตกเอราวัณแบ่งออกเป็น7 ชั้นมีความยาวราวๆ 1,500 เมตร เกิดจากต้นน้ำลำห้วยม่องไล่ไหลผ่านลงจากยอดเขาและผาสูง 2,100 เมตร แต่ละชั้นมีลักษณะเป็นแอ่งที่สามารถเล่นน้ำได้และมีเส้นทางเดินศึกษา ธรรมชาติจัดเอาไว้เป็นช่วงๆ และเนื่องจากมีลักษณะเป็นภูเขาหินปูน ตามแอ่งน้ำต่างๆ จึงปรากฏลักษณะของน้ำที่เป็นสีเขียวมรกตดูเป็นที่แปลกตา รวมทั้งมีปลาภูเขาว่ายวนไปมาให้ชมอย่างเพลิดเพลิน

มี เส้นทางเดินไต่เขาเลียบสายน้ำ-ตกไปเรื่อยๆ เพื่อขึ้นสู่ชั้นสูงสุด ใช้เวลาในการเดินราวๆ ชั่วโมงเศษก็จะถึงชั้นเจ็ด ตลอดทางไม่พบทากหรือสัตว์อันตรายใดๆ

 

ด้วยความงดงามและอากาศที่ดูบริสุทธิ์นี้เอง ทำให้น้ำตกเอราวัณเป็นที่นิยมทั้งจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอันมาก ซึ่งจากวันที่เราได้เดินทางไปถึงในวันธรรมดา จะได้พบเห็นชาวต่างชาติเดินท่อง
ขึ้นล่องตัวน้ำตกกันอย่างสนุกสนานมากมาย ส่วนในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยมากเป็นพิเศษ และส่วนใหญ่จะมาเพื่อเที่ยวชมหรือรับประทานอาหารริมน้ำตกชื่นชมบรรยากาศเป็นส่วนมาก ซึ่งทางอุทยานฯ อนุญาตให้นำอาหารและน้ำดื่มขึ้นไปได้ถึงน้ำตกในชั้นที่ 2 เท่านั้นเพื่อรักษาสภาพแวดล้อม หลังจากนั้นจะไม่อนุญาตให้นำอาหารและน้ำเลยขึ้นไปบนน้ำตกชั้นต่อๆ ไป โดยจะมีด่านผ่านเข้า-ออกที่น้ำตกชั้นที่ 2 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลให้ความสะดวก

สำหรับ ในเรื่องของความปลอดภัยทางอุทยานฯ ได้กำหนดเวลาในการผ่านด่านจากน้ำตกชั้นที่ 2 ขึ้นไปได้แค่ 16.00 น. เท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้จะไม่อนุญาตให้เข้าไป ซึ่งในวันนั้นคณะของเราเป็นคณะสุดท้ายที่กลับลงมาในช่วงเวลาประมาณ 16.30 น. บริเวณน้ำตกไม่มีคนเหลืออยู่เลย ทำให้มันดูวังเวงมาก จึงขอแนะนำว่าให้คำนวณเรื่องเวลาให้ดี อย่าให้ลงมาช้า จนเย็นเกินไปนัก เท่าที่ดูแล้ว ตัวน้ำตกทั้งหมดจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ซึ่งก็หมายความว่าในช่วงเช้าถึงเที่ยงจะมีปริมาณแสงมากกว่าช่วงเที่ยงถึง เย็น ดังนั้นตากล้องทั้งหลายต้องคำนึงถึงจุดนี้ด้วย!

 

ที่มา : tiewpakklang.com