แชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก จากผู้หญิงที่อ้วนมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ลดไปถึง 22 กิโลกรัม!

ไลฟ์สไตล์
แชร์ประสบการณ์ลดน้ำหนัก จากผู้หญิงที่อ้วนมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ลดไปถึง 22 กิโลกรัม!

ลดน้ำหนัก ไม่ยากเกินรอ เพียงคุณมีวินัยและควบคุมอาหาร รับรองว่า ลดน้ำหนัก ได้ผลอย่างแน่นอน

 

ลดน้ำหนัก

มีหลายๆ ท่านที่พยายามลดน้ำหนักให้ได้ตามเป้า แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที นั่นเป็นเพราะคุณยังไม่มีวินัยในการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งวันนี้เราขอนำประสบการณ์การลดน้ำหนักของ คุณ Jaikox1st สมาชิกเว็บไซต์ พันทิปดอทคอม ที่เธอได้มาแชร์วิธีการลดน้ำหนักแบบได้ผล ทำให้น้ำหนักของเธอลดไปถึง 22 กิโลกรัม มาให้เราได้ศึกษากันค่ะ

-------------------------------

สวัสดีเพื่อนๆ ชาวพันทิปค่ะ เนื่องด้วยความขี้เกียจครอบงำเลยคิดอยู่นานว่าจะทำรีวิวดีมั้ย  ต้องบอกก่อนเลยว่าในชีวิตไม่เคยได้รู้จักคำว่าผอมเลยยยย แต่ตอนอนุบาล 3 น้ำหนักเราก็ปาไป 45 แล้ว แต่มาพีคสุดคือตอนที่มันไม่โอเคแล้วจริงๆ คือตอน ม.4 น้ำหนักมันขึ้นมาเป็น 76 กิโลกรัม แล้วร้องไห้ มีแต่คนถามว่าไม่คิดจะลดน้ำหนักหรอ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก ไม่รู้สึกว่าตัวเองอ้วนด้วยซ้ำ โอ้มายก้อด มาดูรูปกันค่า

ลดน้ำหนัก

ตามจริงเคยไปหาหมอตอน ม.1 ตอนนั้นหมอบอกว่าคอเลสเตอรอลเกิน ไขมันเกิน หนูต้องลดน้ำหนัก ตอนนั้นคนรอบข้างก็พูดแค่ว่า "เดี๋ยวโตขึ้นก็ผอมเองแหละ" "เดี๋ยวตัวจะค่อยๆ ยืดเอง"....มันไม่จริง เพราะได้ยินคำพูดพวกนั้นแหละเลยไม่ทำอะไรเลย น้ำหนักมันก็ขึ้นเรื่อยๆ ไง นี้คือรูปตอน ม.1

ลดน้ำหนัก

พอเริ่มขึ้น ม.2 เริ่มอยากผอมแล้ว เพราะตอนนั้นรู้สึกว่าเรามีชุดใส่อยู่แค่ชุดเดียว เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เค้าก็จะแต่งตัวกันสวยมากกก อยากแต่งตัวสวยๆ บ้าง แต่ด้วยเหตุผลที่เราเรียนอยู่ที่ที่ปีนัง แล้วมันเป็นอพาทเม้นต์ เลยตัดเรื่องออกกำลังกายไปได้เลย เคยไปวิ่งอยู่ด้านล่าง 2-3 วัน ก็ล้มเลิกแล้ว นี้คือรูปตอน ม.2

ลดน้ำหนัก

หลังจากนั้นเราย้ายไปอยู่คอนโด คอนโดมีฟิตเนสมีสระว่ายน้ำเลยทำให้เราเริ่มออกกำลังกายบ้าง เดือนละ 2 ครั้ง 5555555555 ตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่หันไปลองด้านยาลดน้ำหนักแต่จะไม่ได้กินแบบติดต่อกัน จะกินเป็นชุดๆ พอผอมก็หยุด วงเวียนแบบนี้มาอยู่ประมาณ 2 ปี แต่...มันหยุดไม่ได้เพราะพอหยุดน้ำหนักเราก็ขึ้นแล้วก็ต้องมากินใหม่ ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันเรียกว่าโยโย่  ก็ทำแบบนั้นไป เพื่อนเดี๋ยวก็ทักผอมลงบ้าง เดี๋ยวก็ทักอ้วนขึ้นบ้าง เราเลยเข้า google หาเรื่องของยาลดน้ำหนัก ถึงจะรู้ว่าอ้อ มันทำให้โยโย่ มันเป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนั้นบอกเลยว่าไม่กล้าหยุดกินยาเลย เพราะตอนนั้นผอมลงแล้ว เรากลัวหยุดแล้วจะเด้ง ตอนนั้นเครียดมาก หาว่าทำยังไงไม่ให้เด้ง แต่มันก็เด้งจาก 70 มาเป็น 76 ซึ่งเป็นช่วงตอน ม.4

ลดน้ำหนัก

พอเห็นรูปนี้เท่านั้นแหละ เรารู้สึกว่ามันไม่โอเคแล้ว ตอนนั้นก็เครียดว่าจะลดน้ำหนักยังไง ยาหยุดเดี๋ยวก็โยโย่ เครียดแบบเครียดมากๆ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะหยุดกินจริงๆ หลังจากนั้นเลยหันมาฟิตเนส ปั่นจักรยาน 300 แคล ทุกวัน แต่ไม่ควบคุมเรื่องอาหารเพราะตอนนั้นไม่มีกระแสเรื่องอาหารคลีน ก็รู้สึกว่าออกกำลังกายแล้วกินได้ กินแบบเพื่อนชวนไปกินที่ไหนก็กินเพราะคิดว่าก็ออกกำลังกายแล้วอ่ะ คนอื่นก็พูดว่า "ออกกำลังกายแล้วทำไมไม่เห็นผอมลงเลย" ก็เลยคิดว่า เออก็จริง ออกแค่ 300 แต่ไปกินอาหารญี่ปุ่นชุดเบนโตะชุดนึงก็ 900 แคลละ

หลังจากนั้นเลยเริ่มเปลี่ยนเรื่องการกิน ตอนเช้ากินขนมปังบ้าง ซีเรียลบ้าง กินอาหารปรกติบ้าง แต่บอกก่อนเลยว่าตอนนั้นความรู้เรื่องอาหารคือ 0 มากๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอมื้อเที่ยงก็จะกินข้าวร้านมังสวิรัติ แล้วก็จะสั่งข้าวกล้องแต่หารู้มั้ยว่าที่ตักกับอย่างอื่นนั้นแป้งทั้งนั้น พอเป็นมื้อเย็นก็จะกินปรกติ แต่ด้วยเพราะเลิกเรียนตอนบ่าย 3 คนที่ดูแลหอเค้าก็จะทำข้าวเย็นให้กินตอน 4 โมง หลังจากนั้น 6 โมง เราก็ไปฟิตเนส บางคืนก็หิวบ้างไม่หิวบ้าง แต่พยายามไม่กินมื้อดึก ตอนนั้นการออกกำลังกายก็เปลี่ยนไปเพราะเราเข้าชมรมบาสของโรงเรียน ก็จะหากิจกรรมหลายๆ อย่างเล่นควบคู่ไปด้วย จากที่ปั่นจักรยานก็จะเปลี่ยนไปวิ่งบ้าง แล้วก็เพราะว่าได้เจอเพื่อนที่ฟิตเนส เค้าก็ทำให้เรารู้จักกับคำว่า 'สคอวต' OMG มันเจ็บมากกกกกกก หลังจากนั้นก็ทำบ้างไม่ทำบ้าง วนไม่ได้เน้นสคอวต ทำอยู่ 1 ปีกว่าๆ น้ำหนักมันก็ลงมาอยู่ที่ 65-67

ลดน้ำหนัก

ผอมลงก็จริงแต่ก็ยังอ้วนอ่ะ

หลังจากนั้นกลับมาอยู่ไทยรอเรียนมหาลัยฯ ตอนนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ได้รู้จักกับ "อาหารคลีน" เนื่องจากพ่อกับแม่เริ่มหันมาออกกำลังกายและรักสุขภาพมากขึ้นเลยได้เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เรื่องเวทเทรนนิ่งเราก็ไม่ได้มีความรู้มากเราเลยวิ่งอย่างเดียว วิ่งแบบเป็นชั่วโมง วิ่งเอาเป็นเอาตาย ผอมลงจริงแต่เวลาจับที่เนื้อคือเนื้อมันเหลวอะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ในรูปคือน้ำหนักอยู่ที่ 60

ลดน้ำหนัก

หลังจากนั้นช่วงที่มาอยู่เซี่ยงไฮ้คือช่วงที่มหาลัยเปิด ตอนนั้นก็คิดว่าพอใจแล้วไม่ลดแล้ว ใช้ชีวิตลั้นลาเลยค่ะ ไม่ได้ออกกำลังกาย ใครชวนไปไหนไป กินไหนไปตลอด ไม่อิ่มไม่หยุด แล้วคืออาหารจีนมันมาก เพื่อนนัด 4 ทุ่ม กินเนื้อย่างก็ไป หลังจากนั้นภายในเดือนเดียวน้ำหนักขึ้นมาอยู่ที่ 64 คือแบบเครียดมาก เพื่อนที่ชวนกินตอนชวนก็ชวนดี พออ้วนขึ้นมันลก็ล้อ ล้อแบบกดดันมากๆคำพูดมันทำให้เราแบบแย่มากๆ หลังจากนั้นเปลี่ยนพฤตืกรรมการกินคือพยายามกินแค่ 3 มื้อ จากปรกติกิน 4-5 มื้อ แล้วก็ไปสมัครฟิตเนสเลยจ้า ตอนไปเล่นฟิตเนสก็ยังทำแค่คาร์ดิโอ วิ่งกับปั่นจักรยานอย่างเดียว เทรนเนอร์ก็เข้ามาบอกว่าวิ่งอย่างเดียวไม่ได้นะ หลังจากนั้นเลยดูว่าฟิตเนสมีคลาสอะไรบ้าง มันก็มีพวกบอดี้คอมแบต เราชอบมากมันเป็นแบบแนวมวยๆ เราเลยเข้า 1อาทิตย์ มีคลาส 4 วัน ก็พยายามไปให้ได้ทุกวัน ตอนนั้นใช้เวลา 2 เดือน น้ำหนักก็ลงไปประมาณ 3 กิโล เทรนเนอร์ก็ทักว่าผอมลง แต่รู้สึกว่ากินยังไม่ได้กินคลีนแล้วก็ยังกินมากอยู่ น้ำหนักเลยลงช้า

หลังจากนั้นก็กลับไทยเพราะปิดเทอม หันมาเล่นเวทมากขึ้น แล้วก็ประกอบกับกินอาหารดีขึ้น เราจะเล่นเน้นเวทช่วงขา เพราะเป็นคนช่วงขาใหญ่ ก็จะทำสคอวต, lunge, กระโดดตบ, sumo squats แล้วก็ตามด้วย cardio 45-60 นาที 1 เดือนน้ำหนักก็ลงไปอยู่ที่ 59-60

พอกลับมาจีนเนื่องด้วยต้องทำอาหารเอง มันเลยทำให้เราเลือกได้ว่าเราจะปรุงอะไรใส่ลงไปบ้าง แต่เพราะลิ้นชินกับรสจืดเราเลยมีแค่น้ำมันหอยอะ55555555 บวกกับการออกกำลังกายตามภาพนี้

ลดน้ำหนัก
 
ลดน้ำหนัก

เราว่าตารางนี้มันท้าทายมาก มันทำให้เราไม่เบื่อ เราอยากออกกำลังกายทุกวันเลย
เราทำควบคู่กับการคาร์ดิโอ 45-60นาที

ตอนนี้ผ่านมาประมาณ 1 เดือนกว่าๆ น้ำหนักเราก็ลดลงมาอยู่ที่ 54

ลดน้ำหนัก
 
ลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนัก

การลดน้ำหนักมันจะทำให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไปเลย เราจะเลือกมากขึ้น เราจะคิดมากขึ้นว่าอะไรควรกินไม่ควรกิน กินอาหารดีๆ ก็มีผลต่อจิตใจมาก มันทำให้เรารู้สึกแฮปปี้ว่าเราเอาของอะไรเข้าร่างกาย แต่เราก็ยังมีกินไอติมบ้าง กินของหวานบ้างอาทิตย์ละ 1 ครั้ง

หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์ให้กับคนที่ตั้งใจจะลดน้ำหนักค่ะ สิ่งสำคัญเลยคืออย่ายึดติดเรื่องเวลา
แค่คิดว่าวันนี้เราจะต้องสุขภาพดีขึ้นกว่าเมื่อวาน พอผ่านไปนานๆ ผลลัพธ์ที่ได้เหมือนเป็นรางวัลชีวิตจริงๆ

ถ้าหากเขียนผิดตกบกพร่องยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ


หากใครอยากมีรูปร่างที่ดีขึ้น สามารถนำวิธีการลดน้ำหนักวิธีนี้ไปใช้ได้นะคะ งานนี้ต้องมีคนขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก เพราะเขาอาจจะจำคุณไม่ได้ คอนเฟิร์ม!





ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก คุณ Jaikox1st เว็บไซต์ พันทิปดอทคอม