เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง (ชื่อเล่น: โก้) เกิดเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2516 ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เป็นบุตรคนเล็ก จากทั้งหมดสามคน ของสุริยา (บิดา) และริสม (มารดา) มีพี่สาวสองคน แต่ภายหลังราวปี พ.ศ. 2525 เขาตามบิดามารดาย้ายกลับไปภูมิลำเนาเดิมที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น

เกียรติศักดิ์เริ่มศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองแดง อำเภอกุมภวาปี จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากนั้นจึงย้ายมาศึกษาต่อชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนน้ำพองศึกษา อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น จนสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 6 จึงย้ายเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร ในระดับอนุปริญญา สาขาการบัญชี ที่โรงเรียนพาณิชยการกรุงเทพ และจบการศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ปัจจุบันศึกษาต่อระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการกีฬา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม

เกียรติศักดิ์สมรสกับอัสราภา (สกุลเดิม: วุฒิเวทย์) เมื่อปี พ.ศ. 2545 มีบุตรสาวด้วยกันสามคน

ผู้เล่น

เกียรติศักดิ์เริ่มแข่งขันฟุตบอล ระดับประเทศครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2533 โดยติดทีมชาติไทยชุดเยาวชน ไปแข่งขันที่มาเลเซีย และต่อมาในปี พ.ศ. 2536 ก็ขึ้นไปติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ครั้งแรก ในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 24 และตามด้วยการแข่งขันฟุตบอลเมอร์ไลออนคัพ ที่ประเทศสิงคโปร์ เขายิงประตูแรกได้ ขณะเล่นร่วมกับ ทีมชาติไทยชุดบี เมื่อวันที่ 9 กันยายน ซึ่งทำให้ชนะทีมชาติโปแลนด์ 1 ประตูต่อ 0 และประตูสุดท้าย ในทีมชาติไทยชุดใหญ่ โดยเป็นประตูที่ 100 ของเขากับทีมชาติไทย (หากนับเฉพาะนัดที่พบกับทีมชาติ จะอยู่ที่ 85 ประตู) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ขณะแข่งขันคิงส์คัพครั้งที่ 37 ซึ่งชนะสิงคโปร์ 2 ประตูต่อ 0

นอกจากนี้ เกียรติศักดิ์ยังอยู่ในทีมชาติไทย ชุดที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอล ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 17, 18 และ 19 และชุดที่เป็นอันดับ 4 การแข่งขันฟุตบอล ในกีฬาเอเชียนเกมส์สองสมัยติดต่อกันคือ ครั้งที่ 13 ประจำปี พ.ศ. 2541 ซึ่งเกียรติศักดิ์ยิงประตูขึ้นนำทีมชาติเกาหลีใต้ ก่อนที่ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล จะทำประตูโกลเดนโกล ให้ทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้าย และครั้งที่ 14 ประจำปี พ.ศ. 2545 และสามารถทำแฮตทริก ขณะเล่นให้ทีมชาติไทยมาแล้ว 4 ครั้งคือ ฟุตบอลชายกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 20 นัดทีมชาติไทยชนะฟิลิปปินส์ 9 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2542, นัดกระชับมิตร ทีมชาติไทยชนะทีมชาติคูเวต 5 ประตูต่อ 4 เมื่อวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2544, ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย ทีมชาติไทยชนะปากีสถาน 6 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 และ ไทเกอร์คัพ 2002 รอบแบ่งกลุ่มนัดแรก (กลุ่มบี) ทีมชาติไทยชนะทีมชาติลาว 5 ประตูต่อ 0 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2545

อนึ่ง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) บันทึกว่าเกียรติศักดิ์ เป็นผู้ทำประตูสูงสุด ให้แก่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่ 70 ประตู จากการลงเล่น 131 นัด โดยนัดสุดท้ายที่เกียรติศักดิ์ ลงเล่นกับทีมชาติไทยชุดใหญ่ คือนัดที่พบกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ทั้งนี้ เมื่อเกียรติศักดิ์สามารถยิงประตูได้ จะแสดงความดีใจด้วยการกระโดดตีลังกา กระทั่งสื่อมวลชนสายกีฬา ตั้งฉายาให้ว่าเป็น จอมตีลังกา


ผู้ฝึกสอน

เมื่อปี พ.ศ. 2545 ขณะยังเป็นผู้เล่น เกียรติศักดิ์ริเริ่มก่อตั้งโครงการ ซิโก้ทิปส์ สัญจร เพื่อเปิดทำการฝึกสอนฟุตบอล แก่เยาวชนทั่วประเทศ ควบคู่กับผลิตรายการ ฝึกสอนทักษะฟุตบอลทางโทรทัศน์ โดยใช้ชื่อเดียวกันว่า ซิโก้ทิปส์ จนถึงปีถัดมา (พ.ศ. 2546) ต่อมาเขาผ่านการอบรม ผู้ฝึกสอนระดับบี (B Licence) ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อปี พ.ศ. 2549 และเริ่มเป็นผู้ฝึกสอนครั้งแรกในปีเดียวกัน โดยรับตำแหน่งผู้จัดการทีม สโมสรฟุตบอลฮหว่างอัญซาลาย (ฮอง อันห์ ยาลาย) ซึ่งร่วมแข่งขันอยู่กับวี-ลีกของเวียดนาม ขณะที่เขายังเป็นผู้เล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ด้วย

เมื่อเกียรติศักดิ์ ประกาศยุติอาชีพนักฟุตบอล ในปลายปี พ.ศ. 2550 เขาผลิตวิดีโอซีดีและหนังสือ ซึ่งถอดความจากรายการซิโก้ทิปส์ โดยในปีเดียวกัน ยังเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ สถาบันฝึกสอนฟุตบอลของกรุงเทพมหานคร และรับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ของสโมสรฟุตบอลจุฬาฯ-สินธนา ซึ่งเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาร่วมแข่งขันไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2551 ซึ่งสโมสรดังกล่าวจบฤดูกาลในอันดับที่ 8 จากนั้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 เกียรติศักดิ์ย้ายไปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ให้กับสโมสรฟุตบอลชลบุรีในไทยแลนด์พรีเมียร์ลีก 2552 ซึ่งจบฤดูกาลด้วยการเป็นอันดับที่ 2 ของลีก และสามารถเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายของรายการเอเอฟซีคัพ ทว่าเมื่อจบฤดูกาลนั้น เขาก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถนำสโมสรชนะเลิศในลีก

หลังจากนั้น เกียรติศักดิ์กลับไปรับหน้าที่ผู้จัดการทีม ให้กับสโมสรฮหว่างอัญซาลาย อีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2553 โดยอยู่ในอันดับที่ 7 ของวี-ลีก เมื่อจบฤดูกาลดังกล่าว ต่อมาในปี พ.ศ. 2554 เขากลับมาเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน ให้กับสโมสรฟุตบอลบีบีซียู ซึ่งร่วมแข่งขันอยู่ในไทยลีกดิวิชั่น 1 ซึ่งจบฤดูกาลนั้นด้วยอันดับที่ 3 สโมสรจึงสามารถเลื่อนชั้น ขึ้นไปแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีก ทว่าในไทยพรีเมียร์ลีก 2555 บีบีซียูชนะเพียงนัดเดียว จากสิบนัดแรกของฤดูกาล เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 เกียรติศักดิ์จึงประกาศลาออก แล้วเข้ารับงานหัวหน้าผู้ฝึกสอน ให้กับสโมสรฟุตบอลบางกอก เอฟซีในไทยลีกดิวิชั่น 1 ซึ่งขณะนั้นอยู่ในอันดับท้ายๆ ของตารางคะแนน แต่เขาสามารถพาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 10 ของลีก สโมสรจึงรอดพ้นจากการตกชั้น

ต่อมาราวต้นปี พ.ศ. 2556 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่งตั้งให้เกียรติศักดิ์ เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลชายทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ก่อนที่จะนำทีมชุดดังกล่าว ลงแข่งขันกระชับมิตรกับทีมชาติจีน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน โดยทีมชาติไทยสามารถเอาชนะทีมชาติจีน ด้วยการทำประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 5 ต่อ 1 โดยในปลายปีเดียวกัน เกียรติศักดิ์คุมทีมชาติไทยชุดเดียวกัน ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชาย ในกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่กรุงเนปยีดอของเมียนมาร์ โดยในการชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทยชนะอินโดนีเซีย 1 ประตูต่อ 0

ส่วนการแข่งขันฟุตบอลชาย ในกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 17 ประจำปี พ.ศ. 2557 ที่นครอินช็อนของเกาหลีใต้ เกียรติศักดิ์นำทีมชาติไทยชุดเดิม แข่งขันชนะ 5 นัดแรก โดยเสียเพียง 3 ประตู และเป็นอันดับที่ 4 ของการแข่งขันดังกล่าว และในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เขาพาทีมชาติไทยชุดเดียวกัน ชนะเลิศรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ซึ่งเป็นสมัยที่ 4 ของทีมชาติไทยในรายการดังกล่าว โดยนัดชิงชนะเลิศ สามารถเอาชนะทีมชาติมาเลเซีย ด้วยประตูรวมสองนัด 4 ต่อ 3

ที่มา :