ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ! 'โต๋ ศักสิทธิ์' กับเส้นทางที่ไม่ได้มีแค่ความบันเทิง

บันเทิง
ไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จ! 'โต๋ ศักสิทธิ์' กับเส้นทางที่ไม่ได้มีแค่ความบันเทิง

TTM VARIETY เปิดใจชีวิตสายดนตรี 16 ปี 'โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร' กว่าจะมีวันนี้ กับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ Tor Saksit Today Live @ Impact Arena

"เอาจริง ๆ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลยนะ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าเอาเวลามาทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดี..."
 
"สำหรับผม ผมว่าดนตรีมันคือชีวิตมากกว่านะ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นความบันเทิงนะ ผมว่ามันคือชีวิตนี่แหละ..."
 
นี่เป็นสองประโยคที่กินใจสำหรับเราจนต้องยกมาให้ได้อ่านกันก่อนเข้าสู่บทสัมภาษณ์เต็ม ๆ กับอีกหนึ่งศิลปินที่เราได้พูดคุยแล้วรู้สึกว่าทุกถ้อยคำที่พูดออกมาจากก้นบึ้งหัวใจของเขาจริง ๆ  กับ 'โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร' 
 
 
TTM VARIETY  : โต๋บุคลิกเป็นผู้ชายอบอุ่น ที่สาว ๆ ใฝ่ฝัน แต่มีอะไรที่เกี่ยวกับตับโต๋ที่คนอื่นเข้าใจผิดหรือไม่รู้ไหมคะ
 
โต๋ : ผมเป็นคนทำเซอร์ไพรส์คนไม่เป็น เป็นคนเก็บความลับไม่อยู่ เป็นคนที่ทำเซอร์ไพรส์ใครแล้วจะตื่นเต้น ดูรู้เลยว่าเลิ่กลั่ก แล้วก็เป็นคนที่ติดดินนิดนึงไม่ชอบอะไรหวือหวามาก
 
TTM VARIETY  : โต๋เป็นลูกคุณหนูไหม ดูจากลุค ?
 
โต๋ :  ผมเหรอ ไม่เลยพี่เป็นคนปกติ ทุกคนชอบมองว่าเป็นคุณหนูแต่จริง ๆ ไม่เลย ตอนเด็ก ๆ พี่ก็ขึ้นรถเมล์ไปเรียนนะ พี่ชอบกินก๋วยเตี่ยวเรือ กินส้มตำ ไก่ย่าง พี่ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ผมไม่ได้เป็นคุณหนูเลยครับ 
 
TTM VARIETY   : แต่ด้วยผลงานที่ออกมาแต่งเพลงรัก คนก็จะคิดว่าเป็นคนโรแมนติก เซอร์ไพรส์เก่ง?
 
โต๋ : คนชอบคิดอย่างนั้นแหละ แต่ไม่ใช่เลย เป็นคนเซอร์ไพรส์ไม่เป็น ไม่เก่งเรื่องนั้น พี่ว่าความโรแมนติกมันอยู่ในมุมอื่น ในมุมน่ารัก ๆ อื่น ๆ พี่เป็นค่อนข้างจะติดดิน บางทีความโรแมนติกมันอยู่ในคำพูด มันอยู่ในสายตา มันอยู่ในอย่างอื่นได้ มันไม่จำเป็นว่าเป็นคนโรแมนติกแล้วคุณต้องเซอร์ไพส์เป็นอย่างเดียว
 
 
TTM VARIETY  :  กับเส้นทางสายดนตรี พี่โต๋กับถนนสายดนตรีผ่านมากี่ปีแล้ว
 
โต๋ : 16 ครับ
 
TTM VARIETY :  ก็ถือได้ว่านานเหมือนกันนะ
 
โต๋ : นานครับ ก็ใช้ได้อยู่
 
TTM VARIETY  : เป็นยังไงบ้างคะกับถนนสายนี้ ความยากง่ายของมัน
 
โต๋ : สำหรับผมแล้วทุกอย่างมันมีขึ้นมีลง วงการดนตรีในช่วงเวลาชีวิตของเรามันก็มีช่วงขึ้น ช่วงลง แต่ผมว่าสิ่งที่เราต้องปรับตัวไปเรื่อย ๆ ตามวงการเพลงด้วยหรือว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ ผมอยู่มาตั้งแต่เป็นเทปเป็นซีดีจนถึงวันนี้เป็นสตรีมมิ่งแล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่มันสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่ทำ เป็นศิลปินทำยังไงให้มันยังมีไฟ ยังมีพลังตลอดที่จะทำในสิ่งที่เราทำ ตรงนี้มันคือความท้าทายอย่างนึงคือจะทำยังไงให้เรายังอยู่ในทุกยุคทุกสมัยได้ 
 
 
TTM VARIETY :  แล้วโต๋ทำยังไงคะ ให้ตัวเองยังมีไฟ มีความสุข 
 
โต๋ : ผมว่ามันอยู่ที่การ Open สำหรับผมอย่างแรกมันคือการ Open ตัวเอง การก้าวออกมาจากเซฟโซนของตัวเองเยอะ ๆ  สมัยนี้เขาฮิตอะไรกัน เขาฮิตแร็ป ฮิตอิเล็กทรอนิกส์กัน แน่นอนว่าอยู่ดี ๆ จะให้เรากระโดดไปทำเพลงแร็ปเลยมันก็ตลก เขาชอบแบบนี้เราก็แบบฟีทเจอริ่งไหม เราแต่งเพลงแบบเป็นสไตล์นี้ ผมว่าเราต้องตามให้ทันเพราะว่าสมัยนี้โลกมันหมุนไปถึงไหนแล้ว เพราะไม่งั้นถ้าเราไม่หมุนไปตามโลก ไม่หมุนตามเทรนด์หรือว่ากระแสที่เขาฟังกัน ซาวน์เราวันนึงก็จะกลายเป็นเรทโทรมิวสิค  มันก็เป็นชาเลนจ์อย่างหนึ่งที่เราต้องทำให้ได้ด้วยครับ 
 
TTM VARIETY :  เคยอ่านบทสัมภาษณ์เก่า ๆ ตอนนั้นโต๋บอกว่าไม่ชอบให้เรียกตัวเองว่า 'นักร้อง' อยากให้เรียกว่า 'ศิลปิน' ยังเป็นแบบนั้นอยู่ไหม 
 
โต๋ : ใช่ครับ ก็ยังเป็นแบบนั้นอยู่ ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะสวมหมวกหลายใบ ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน เป็นนักดนตรี เป็นนักแสดง แต่ผมว่าสาเหตุที่อยากให้เรียกว่าศิลปิน เพราะว่าเราทำงานดนตรีด้วยไง เราไม่ได้ร้องเพลงอย่างเดียว เราแต่ง เราเล่น และศิลปินมันมีเอกลักษณ์บางอย่างที่มันเป็นเรา คนฟังจะรู้ว่า เวลาร้องขึ้นมา ไม่ต้องร้องก็ได้ เวลาเล่นเปียโนขึ้นมา คนฟังก็จะ เอ๊ะ เสียงเปียโนแบบนี้มันใช่ ผมว่าการเป็นศิลปินสิ่งที่มันสำคัญคือเอกลักษณ์ อยากให้เรียกตรงนี้เพราะคนจะจำเราได้จากเอกลักษณ์ที่เราเป็นเราครับ
 
TTM VARIETY :   อยากเป็นนักดนตรีตั้งแต่เด็กเลยไหม หรือว่าโดนปลูกฝังมาจากครอบครัว
 
โต๋ : อยากเป็นตั้งแต่เด็กครับ  จำความได้คุณพ่อก็จับนั่งบนตักสอนเปียโน
 
TTM VARIETY :  คุณพ่อบังคับไหม
 
โต๋ : แรก ๆ บังคับครับเพราะเด็ก ๆ ผมก็อยากวิ่งเล่นเหมือนคนอื่น หลาย ๆ คนชอบคิดว่าเด็ก ๆ ผมจะแบบ พ่อครับ อยากเรียนเปียโน ซ้อมเปียโนทุกวัน ไม่ใช่ ผมอยากวิ่งเล่นเหมือนคนอื่นแหละ ผมอยากเตะบอล เป็นนักบอลเหมือนคนอื่น แต่คุณพ่อวางตารางให้ซ้อม มีวินัยกับชีวิตว่าต้องซ้อมนะ ตอนเด็ก ๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรดีสำหรับตัวเองทุกคนก็อยากเล่นหมด ผมว่ามันเป็นหน้าที่ของพ่อ แม่ที่ต้องวางตารางให้เขา แต่พอวันนึงที่เขาโตแล้วเราถามเขาเลยว่าเขาชอบหรือเปล่า ชอบจริงจังไหมหรือไม่ชอบ ถ้าชอบจริงจังก็สนับสนุน ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไรแต่ในวันที่เขายังไม่รู้ว่าอะไรดีต่อเขา เราต้องให้เขาก่อน นั่นคือเหตุผลที่คุณพ่ออธิบายให้ผมฟัง 
 
 
TTM VARIETY :  อยู่กับดนตรี เปียโนมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่ารู้ว่าตัวว่าตัวเองต้องมาทางนี้ตอนไหน
 
โต๋ : รู้ว่าอยากเป็นนักดนตรีตั้งแต่เด็ก ๆ เลย 
 
TTM VARIETY :  ก็คือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองฝืนที่จะทำ
 
โต๋ : ไม่เลยครับ ก็มีบ้างที่ขี้เกียจเรียนเปียโน แต่รู้สึกว่าอยากเรียนดนตรี อยากเป็นศิลปิน มันชัดเจนมาก ๆ ตอนโตแล้ว 12 13 เริ่มแต่งเพลง เริ่มมีความฝันอยากมีอัลบั้มของตัวเอง อยากแต่งเพลงให้มันอยู่ในอัลบั้มตัวเอง ตอนตั้งแต่อายุ 12 เลยครับ
 
TTM VARIETY :   ตอนนั้นเพลงแรกที่แต่ง ทำไมถึงแต่งขึ้นมา เกี่ยวกับอะไร ทำไมถึงแต่งได้
 
โต๋ : เพลงแรกที่แต่งชื่อเพลงว่า แรงใจ แต่งกับกีตาร์ เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้มชุดแรก Living In C Major  เป็นเพลงที่แต่งให้พ่อ แม่ครับ อยู่ดี ๆ ก็มาเองก็เลยแต่งไป เป็นเพลงแรกที่แต่งกับกีตาร์ก็ตลกดี ผมว่ามันเป็นความฝันของเด็ก เหมือนเด็กสมัยนี้ทุกคนก็อยากจะมีความฝันของตัวเองว่าอยากทำนู่นทำนี่ และเราก็แต่งไว้แล้วก็เตรียมตัว มันไม่ใช่แค่เรื่องแต่งเพลงด้วย มันเป็นเรื่องอย่างอื่น เรื่องเตรียมชีวิต เรื่องความคิด เรื่องต่าง ๆ สิ่งที่เป็นเราทุกวันนี้ ที่เห็นกันทุกวันนี้ มันเป็นสิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราเป็น มันคือสิ่งที่เราฝันว่าอยากจะเป็น สิ่งที่เราใช้ทุกวันตั้งแต่เด็ก ๆ เตรียมตัวที่จะเป็นก่อนมันไม่ใช่แค่โชคดีที่อยู่ดี ๆ จะเป็นได้ มันคือสิ่งที่เราเตรียมตัวและซ้อมมา คิดแล้วคิดอีกว่าเราอยากเป็นอะไรครับ 
 
TTM VARIETY : เคยคิดไหมว่าถ้าตัวเองไม่ได้เป็นนักดนตรีหรือศิลปินอย่างทุกวันนี้ ตอนนี้จะทำอะไรอยู่
 
โต๋ : ไม่เคยคิดเลยครับ เพราะว่ามันไม่มี before and after เท่าที่จำความได้มันก็อยากจะเป็นแบบนี้แล้ว มันไม่มี before คือมันไม่เหมือนผ่าตัดที่แบบก่อนผ่าตัด หลังผ่าตัด ไม่มี เพราะเท่าที่เราจำความได้คือเราอยากจะเป็นนักดนตรีแล้ว ฉะนั้นเนี่ยถ้าถามว่าชีวิตนี้ไม่มีดนตรีจะทำอะไร ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว 
 
TTM VARIETY :  แล้วหลังจากนี้เคยมีแพลนว่าจะเลิกเล่นไหม
 
โต๋ : มันเหมือนกินข้าวอ่ะครับ เคยคิดไหมว่าวันนึงจะหยุดกินข้าว ก็ไม่เคยคิด เคยคิดไหมว่าฉันจะหยุดหายใจแล้ววันนี้ เพราะมันเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตไปแล้ว มันแค่ปรับเปลี่ยนเฉย ๆ แค่อนาคตเราอาจจะไม่ได้ยืนอยู่ข้างหน้าแบบนี้ เราอาจจะทำเบื้องหลัง อาจจะออกรอบนาน ๆ ที เราอาจจะสอนดนตรี ไม่รู้สิ ดนตรีมันก็ยังอยู่ในชีวิตของเราอยู่ตลอดครับ
 
TTM VARIETY : คือไม่ว่าจะอยู่จุดไหน ก็ยังมีความสุขกับดนตรี
 
โต๋ : ใช่ ดนตรียังอยู่กับเราแน่ ๆ อยู่ที่ว่าเราจะทำในมุมไหน
 
TTM VARIETY : 16 ปีในเส้นทางสายดนตรี คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือยัง 
 
โต๋ : เอาจริง ๆ แล้ว ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จเลยนะ แทนที่จะเอาเวลาไปคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าเอาเวลามาทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดี ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีไม่พอต้องเอ็นจอยกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วย ผมว่ามันเหมือนกับการขึ้นเขา เหมือนกับตอนเด็ก ๆ เราอยากเป็นนักดนตรีมาก เราเข้าวงการแรก ๆ เราก็พร้อมกับแรงบันดาลใจที่เราอยากจะขึ้นเขาลูกนี้ ซึ่งทุกคนบอกว่ายอดเขามันสวยงามมาก เราก็ฝึกซ้อมอย่างเต็มที่เลย เข้าวงการปุ๊บเราก็วิ่ง ซ้อมอย่างเต็มที่ที่จะขึ้นข้างบน

แล้วผมรู้สึกว่าวันนึงเราได้ขึ้นมาแล้ว เคยขึ้นมาแล้ว เรารู้สึกว่า ก็มีแค่นี้เองหรอ ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็สวยดี อยู่นานก็ไม่ได้เพราะมันสูงอากาศมันก็ไม่ดี ไม่ค่อยมีด้วยก็ต้องลง แล้วเราก็เดินลง ระหว่างที่เราเดินลงเราก็จะเดินลงด้วยท่าทีที่มันไม่เหมือนกับตอนขึ้นล่ะ แล้วเราก็จะเห็นเด็ก ๆ หลายคนที่ยังวิ่งขึ้นอยู่ อยากขึ้นไปดูว่าข้างบนเป็นยังไง เราเดินสวนกันเราก็อยากจะบอกว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก  เดี๋ยวก็ลง แล้วเราก็ต้องรอลงมา รอขึ้นลูกถัดไปมันก็จะมีลูกต่อไปให้เราขึ้น ลูกต่อไปอาจจะสูงเท่าลูกแรกหรือเปล่าไม่รู้ อาจจะสูงกว่า อาจจะไม่สูงเท่าก็ไม่รู้ แต่ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราไปปักธงที่ยอดเขา ไม่ใช่เลย ความสุขมันอยู่ที่เราเอ็นจอยกับทุก ๆ ช่วงในชีวิต ไม่ว่ามันจะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่ามันจะเดินลง ไม่ว่าจะตอนเดินขึ้น ไม่ว่าจะตอนอยู่บนท็อป ความสุขมันคือเราเอนจอยทุกโมเมนท์ พี่ว่าตรงนี้สำคัญที่สุด
 
 
TTM VARIETY :  ตอนนี้ก็คือพอใจกับชีวิตของตัวเอง
 
โต๋ : ไม่ ๆ สมมุติทุกวันนี้คือเราใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข แล้วเราเห็นค่ากับทุก ๆ วัน ได้ทำอะไรข้างหน้า ทำไปก่อน ไม่เคยคิดแล้วก็ไม่มี ultimate goal ด้วย ทุกคนชอบถามว่าเป้าหมายสูงสุดของโต๋คืออะไร ไม่เห็นมีเลย ไม่รู้ ไม่เคยตั้งครับ
 
TTM VARIETY :  ทำแทบจะหมดแล้ว นักร้อง ศิลปินแล้วก็มีละคร ยังมีอะไรที่อยากทำอีกไหมคะ
 
โต๋ : ในอนาคตสำหรับผมนะ ผมอยากทำในเรื่องของการศึกษาครับ ผมรู้สึกว่าดนตรีมันเป็นการส่งต่อระหว่างรุ่นสู่รุ่น ผมก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่นพี่เยอะ จากคุณพ่อ แล้วผมรู้สึกว่าวันนึงเรามาอยู่ตรงนี้เราก็มีหน้าที่อินสไปร์รุ่นต่อ ๆ ไป อยากทำเรื่องเรียนดนตรี แต่ตอนนี้ก็ทำอยู่กับ bec tero music course อันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นเฉย ๆ  ผมรู้สึกว่าเรามีหน้าที่ที่อยากอินสไปร์เด็กรุ่นใหม่ให้เก่ง ๆ แค่นั้นเองครับ
 
TTM VARIETY :  ตอนนี้วงการดนตรีในยุคปัจจุบันเข้าถึงได้ง่าย เร็วขึ้น ทุกคนไม่ต้องมีค่ายแบบสมัยก่อน โต๋มีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง
 
โต๋ : สมัยนี้ผมว่าคือทุกยุคทุกสมัยวงการเพลงมันก็มีรูปแบบของมัน สมัยนี้โซเชียลมีเดียมีเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Facebook ทุกคนมีช่องทางของตัวเอง แต่ผมคิดว่าสำหรับผมสุดท้ายมันก็มีข้อดี ข้อดีมันมีเยอะกว่าข้อเสียนะ เพราะว่าข้อดีมันก็คือผู้บริโภคได้ฟังเพลงหลากหลายแนวมากขึ้น แล้วทุกวันนี้ก็เกิดศิลปินอาร์ทติส อินดี้ใหม่ ๆ ที่นึกถึงอยากจะทำอะไรก็ดังจากยูทูป โพสต์จบ อัพโหลดเอง ข้อดีทุกคนวินวินหมดเลยคือเรามีผลงานแล้วก็มีช่องทางของตัวเอง คนฟังเขาก็มีช่องทางฟังในสิ่งที่เขาอยากฟังมากขึ้น ถามว่าการอยู่ค่ายใหญ่ยังสำคัญอยู่ไหม มันแล้วแต่แนวเลย มันแล้วแต่แนวว่าใครอยู่ตรงไหน ผมก็อยู่ค่ายใหญ่แล้วพี่รู้สึกว่าการอยู่ค่ายก็ดีคนละแบบ มันเหมือนการทำการตลาดคนละสเกลกัน เพราะฉะนั้นผมว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นยังไง จะเป็นเทป เป็นซีดี เป็น MP3 เป็นสตรีมมิ่ง เป็นยูทูป เป็นอะไรก็ตาม ผมว่าสุดท้ายแล้วคนก็ต้องยังอยู่คู่กับดนตรี คนฟังเพลงก็อยู่คู่กับศิลปิน และศิลปินก็มีหน้าที่ทำเพลงต่อแค่นั้นเองครับ
 
TTM VARIETY :  พลังของดนตรีนอกจากให้ความบันเทิง สำหรับโต๋มันมีอะไรมากกว่านี้อีกไหมคะ
 
โต๋ : สำหรับผม ผมว่าดนตรีมันคือชีวิตมากกว่านะ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นความบันเทิงนะ ผมว่ามันคือชีวิตนี่แหละ มันอยู่ในทุก ๆ ช่วงชีวิต แล้วมันก็อยู่ในชีวิตของคุณ โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยเพราะว่ามันไม่มีทางที่คุณจะไม่ฟังเพลงในชีวิตนี้ ดนตรีมันเป็นอีกภาษาหนึ่งสำหรับผม ผมว่าดนตรีมันเหมือนกับภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ดนตรีก็คืออีกภาษานึงมันสื่อสารอารมณ์ได้อีกรูปแบบนึงที่ภาษาที่คนเราพูดมันสื่อสารไม่ได้ เพราะฉะนั้นดนตรีมันอยู่ในตัวของทุกคน มันคือชีวิต มันไม่ใช่แค่ความบันเทิง
 
 
TTM VARIETY :  ทำไมถึงตั้งชื่อคอนเสิร์ตว่า  Tor Saksit Today Live
 
โต๋ : เพราะว่า คำว่า Today มันคือคำที่อธิบายคอนเสิร์ตครั้งนี้ได้ดีที่สุด Today ในที่นี้ก็คือจริง ๆ แล้วมันคือโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ปี 2019 นั่นแหละ แต่จะให้ชื่อคอนเสิร์ตว่า โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ 2019 มันก็จะดูแบบจริงหรอ ดูเป็นคนเหล็ก 2019 ก็เลยเป็นโต๋ ศักดิ์สิทธิ์ Today เพราะว่าตัวเราเป็นยังไงในวันนี้ ทำมาเป็นโชว์ให้หมดเลย

ทุกวันนี้เราสวมหมวกหลายใบ เราสวมหมวกนักดนตรี เป็นนักร้อง เป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์ใช่ไหมครับ เป็นนักแสดง เป็นคอมเมนต์เตเตอร์ สัดส่วนต่าง ๆ ก็จะถูกนำมาทำเป็นโชว์ในคอนเสิร์ตแล้วผมว่าคำว่า Today มันเป็นคำที่รวมทุก ๆ อย่าง มันทำให้นึกถึงว่าคนเรารู้จักกันตั้งแต่วันแรก Yesterday เป็นยังไง เราได้มาย้อนตั้งแต่ โห สมัยก่อนเราได้รู้จักกันขนาดนั้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง

นอกจากศิลปินเปลี่ยนแล้วคนดูจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ผมว่ามันมีเสน่ห์อยู่ตรงนั้น  แล้วก็คำว่า Today ก็คือจังหวะเวลานี้ มันเคยมีวันที่ผมคิดว่าผมคงไม่ได้กลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่อิมแพคแล้วแหละ มันมีวันที่ผมคิดว่าคงไม่ได้กลับมายืนอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะว่ามันมีช่วงที่ผมหายไปเลย ผมรู้สึกว่าแบบช่วงเวลาที่เรายืนเบื้องหน้า เป็นศิลปินมันคงหมดแล้วแหละ ไปทำเบื้องหลังดีกว่า มันมีช่วงที่เราคิดว่ามันหมดยุคเราแล้วแหละ พอเหอะ แต่ก็ไม่คิดว่าวันนึงเราจะได้กลับมายืนอยู่ในจุดที่เรายืนวันนี้อีกที ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเล่นในอิมแพ็ค

สำหรับผมการเล่นในอิมแพ็คมันมีความหมายมาก เพราะว่าผมรู้สึกว่าการที่เป็นศิลปินเดี่ยวแล้วได้มาเล่นที่อิมแพ็ค อารีน่ามันเป็นอย่างนึงในชีวิตนะ ผมเคยเล่นที่อิมแพ็คเมื่อ 10 ปีก่อน ผมรู้สึกว่าผมก็เคยมีวันที่ผมคงไม่ได้กลับมาเล่นที่นี่หรอกแต่ก็ได้กลับมา ผมว่ามันเป็นอินสไปเรชั่นให้กับตัวเองให้กับคนอื่นด้วย บางครั้งชีวิตมันจะมีช่วงเวลาเป็นบททดสอบมาถามเราว่า เราต้องการมันไหม ความฝันเราต้องการมันไหม อยากทำมันไหม แล้วถ้าเกิดเราไม่ยอมแพ้ ผมว่าวันนึงเราก็จะได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ แล้วคอนเสิร์ตครั้งนี้ชื่อ Today เพราะว่า อยากให้มาเจอกันวันนี้ ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมพร้อมที่สุด ไม่ได้มีความกลัวอะไร มาเลย พร้อมครับ
 
 
TTM VARIETY :  Tor Saksit Today Live มีแขกรับเชิญไหม
 
โต๋ : มีครับ แต่ยังบอกไม่ได้ (หัวเราะ)
 
TTM VARIETY : มีโชว์เต้นอะไรบ้างไหมคะ

โต๋ : ทุกคนอยากเห็นเต้นหมดเลยนะ เล่นเปียโนแทบตาย ทุกคนบอกอยากเห็นโต๋เต้น ล้อเล่น (หัวเราะ) คือคอนเสิร์ตนี้จะเป็นวาไรตี้โชว์อย่างที่บอก มันจะไม่ใช่คอนเสิร์ตของนักเปียโน เราเอา Artist นำ instrument มันเป็นสิ่งที่มากับ Artist  แต่เราจะเอา Artist  นำเพราะงั้นคอนเสิร์ตนี้จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างวาไรตี้มากครับ แน่นอนว่ามันจะมีเต้นมีอะไรด้วยแน่นอน มีหลาย ๆ อย่างให้คุณดู ต้องไปดูไม่อยากพูดเดี๋ยวสปอยล์หมด
 
ห้ามพลาด!! กับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ Tor Saksit Today Live @ Impact Arena ในวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคมนี้ ราคาบัตร 5,000 VIP / 3,500 / 3,000 / 2,700 / 2,300 / 1,900 / 1,500 ซื้อบัตรได้แล้ววันนี้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา หรือที่เว็บไซต์ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ซื้อบัตรคลิก >>  https://bit.ly/2YncC7i