รู้หรือไม่? วันนี้เป็น... วันนอนหลับโลก
ทุกวันศุกร์ที่ 2 ของเดือนมีนาคมของทุกปี เป็น
ทุกวันศุกร์ที่ 2 ของเดือนมีนาคมของทุกปี เป็น“วันนอนหลับโลก” หรือ “World Sleep Day” ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 17 มีนาคม 2560
"วันนอนหลับโลก" มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาปัญหาการนอนไม่หลับของคนทั้งโลก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมความผิดปกติด้านการนอน แต่หลาย ๆ คนอาจจะเคยประสบปัญหาการนอนไม่หลับ และวิตกกังวลเกี่ยวกับการนอนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งรู้หรือไม่ว่าอาการดังกล่าวถูกจัดอยู่ใน"โรคนอนไม่หลับ"หรือ Insomnia ซึ่งโรคนี้จะมีอาการนอนไม่หลับ,หลับลำบาก หรือหลับไม่สนิท เนื่องจากในแต่ละวันเราต้องเจอกับปัญหาต่าง ๆ มากมายที่เข้ามาก่อกวนจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านร่างกายคือ การเจ็บไข้ได้ป่วย,ปัญหาด้านจิตใจความเครียด ความวิตกกังวล และปัญหาจากสิ่งรอบข้าง ต่อการใช้ชีวิตประจำวันเช่น การใช้ยานอนหลับเป็นประจำ รวมถึงเสียงรบกวน และแสงสว่าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากสะสมเป็นเวลานาน จนทำให้การนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อสุขภาพชีวิต อาจก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบประสาท การคิด และความจำ
ด้านนายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย ได้กล่าวภายในงานแถลงข่าว การส่งเสริมการ"นอนหลับสนิท ชีวิตมีสุข"ว่าเทคนิคที่ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นนั้นมี 9 วิธี ได้แก่
1.ออกกำลังกายช่วงเย็นอย่างน้อย 30 นาที หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน
2.กินกล้วยหอม เพราะผิวของกล้วยหอมมีฤทธิ์เหมือนยานอนหลับ และมีอะมิโนแอซิดที่เรียกว่า ทริปโตฟาน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสารเซโรโทนิน เมื่อกินแล้วจะช่วยคลายเครียด คลายกังวล ทำให้หลับสบาย
3.หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนัก อาหารที่มีรสเผ็ด รสจัด หรืออาหารหวานมาก ก่อนเข้านอน 4 ชั่วโมง เพราะร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการย่อยอาหาร
4.หลีกเลี่ยงกาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นประสาททุกชนิด 4-6 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้านอน
5.ผ่อนคลายร่างกาย และจิตใจก่อนนอนด้วยการอาบน้ำอุ่น เดินเบา ๆ ไปมา หรือการนั่งสมาธิ และไม่ควรทำกิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายและสมองไปจนถึงเวลาเข้านอน
6.จัดระเบียบห้องนอนและกำจัดสิ่งรบกวน ด้วยการปิดไฟและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารก่อนนอน แต่บางรายอาจจำเป็นต้องเปิดเพลงเบา ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศ ทำให้หลับสบายขึ้น
7.เลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้หลับยาก ตื่นบ่อย และฝันร้าย เนื่องจากผลของสารนิโคติน
8.เข้านอนให้เป็นเวลา ไม่ควรนอนดึกมาก ควรเข้านอนเวลาประมาณ 21.00–23.00 น.และปฏิบัติให้เป็นประจำ รวมถึงตื่นนอนให้เป็นเวลาทุกวัน รวมทั้งช่วงวันหยุดด้วย
9.เข้านอนเมื่อร่างกายพร้อมที่จะนอน คือเมื่อรู้สึกง่วง และไม่ได้อยู่ในภาวะตึงเครียด อย่าพยายามฝืนนอน หากไม่ง่วง
สำหรับการนอนหลับที่เพียงพอ
วัยแรกเกิด (แรกคลอด - 3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมง
วัยทารก (4 เดือน - 1 ปี) ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
วัยเตาะแตะ (1-2 ปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
วัยก่อนเข้าเรียน (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
วัยเข้าโรงเรียน (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
วัยรุ่น (14- 17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
วัยผู้ใหญ่ (18-64 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
และวัยผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7 – 8 ชั่วโมง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นที่มาของกิจกรรมที่รณรงค์กันไปทั่วโลกอย่าง"The World Sleep Day"หรือ กิจกรรม"วันนอนหลับโลก"ที่จะจัดขึ้นทุก"วันศุกร์"สัปดาห์เต็มที่ 2 ของเดือนมีนาคมในทุก ๆ ปี และในแต่ละปีจะมีสโลแกนในการณรงค์เรื่องการนอนหลับออกมาทุกปี ซึ่งในปี 2017 นี้ ตรงกับวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 โดยมีสโลแกนว่า'Sleep Soundly, Nurture Life' โดยกิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่จะทำให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงปัญหาการนอนหลับ แต่ปัญหาการนอนหลับนี้ยังเกิดขึ้นกับคนทั่วโลก แม้ว่าจะเป็นแค่จุดเล็ก ๆ แต่หากว่าเกิดขึ้นแล้ว มันจะสร้างภาระเรื้อรังต่อเนื่องอย่างไม่รู้จบ
กิจกรรมวันนอนหลับโลก หรือ"The World Sleep Day"จัดขึ้นต้องการส่งเสริมและให้คนทั่วโลกตระหนักถึงการนอนหลับแล้ว ยังส่งผลให้สุขภาพดี เพราะการนอนหลับเป็นวิธีพักผ่อนที่ดีที่สุด ซึ่งหากนอนหลับอย่างเต็มที่ในระยะเวลาที่เหมาะสมและเพียงพอ จะส่งดีต่อทั้งสุขภาพกายและใจด้วย
ข้อมูลจาก https://en.wikipedia.org/wiki/World_Sleep_Day , กรมอนามัย ก.สาธารณสุข